[PR] รายงาน BACKBASE พบคน 63% สนใจใช้บริการธนาคารดิจิทัล จากผู้ให้บริการทางการเงินรูปแบบใหม่และธนาคารผู้ท้าชิงภายใน 5 ปี

การแพร่ระบาดของไวรัสอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนได้นำมาสู่การทบทวนความพร้อมในแวดวงธนาคารดิจิทัล


การสำรวจพบคนส่วนมากในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกพร้อมใช้งานธนาคารดิจิทัล โดยลูกค้ากว่า 3 ใน 5 (63%) พร้อมเปลี่ยนไปใช้บริการของผู้ให้บริการทางการเงินรูปแบบใหม่และธนาคารผู้ท้าชิงรายใหม่ๆ (Neobank และ Challenger bank) ในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยจะมีผู้เล่นใหม่เกิดขึ้นกว่า 100 รายในภูมิภาคนี้ ตามรายงาน Fintech and Digital Banking 2025 ของ Backbase และ IDC

การแพร่ระบาดของไวรัสอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนได้นำมาสู่การทบทวนความพร้อมในแวดวงธนาคารดิจิทัล ซึ่งลูกค้าธนาคารในเอเชียแปซิฟิกส่วนใหญ่ (70%) มองว่าขั้นตอนต่างๆ ในการทำธุรกรรมธนาคารยังคงซ้ำซาก โดยผู้ให้บริการธนาคารรายเดิมยังยึดติดระบบเก่า (Legacy system) และไม่สนใจบูรณาการเพื่อมุ่งให้บริการด้วยดิจิทัลเป็นสิ่งแรก (Digital-first) ทำให้มีเพียงแค่ 30% ของลูกค้าในภูมิภาคนี้ที่ใช้งานธนาคารผ่านช่องทางดิจิทัลเป็นประจำ แต่ทุกวันนี้ผู้ให้บริการธนาคารรายเดิมต้องเผชิญกับความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อหันมาเน้นการให้บริการทางดิจิทัลเป็นสิ่งแรก จากความต้องการของลูกค้าที่สูงขึ้นด้านความพร้อมใช้งาน การเข้าถึง และการทำธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัล โดยธนาคารต่างๆ ในประเทศไทยกำลังเตรียมความพร้อมย้ายการประมวลผลกว่า 50% ขึ้นสู่ระบบคลาวด์สาธารณะภายในอีก 5 ปีข้างหน้าเพื่อตอบรับความต้องการใช้งานดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น

 ความคล่องตัวเป็นเรื่องสำคัญเพื่อแข่งขันมุ่งสู่ Digital-First

รายงานพบว่าผู้ให้บริการธนาคารรายเดิมๆ ไม่สามารถสร้างประโยชน์และดึงศักยภาพจากการสร้างพันธมิตรในระบบนิเวศได้เนื่องจากยังคงมีมุมมองแบบเก่าต่อห่วงโซ่คุณค่า โดยร้อยละ 80 ของธนาคารชั้นนำ 250 แห่งในเอเชียแปซิฟิกยังคงต้องการเป็นเจ้าของห่วงโซ่คุณค่าของการธนาคารทั้งหมด และมีสัดส่วนของธุรกิจจากผู้ใช้บริการภายนอก (Third party) เพียง 2% ในขณะเดียวกันอายุเฉลี่ยของระบบธนาคารหลักที่ตกทอดมา (Legacy core banking system) ของธนาคาร 100 อันดับแรกในภูมิภาคอยู่ที่ 17.5 ปี ซึ่งนับว่าล้าหลังจากเศรษฐกิจดิจิทัลที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน

ในอีกด้านหนึ่ง ผู้ให้บริการธนาคารรูปแบบใหม่และผู้ท้าชิงดิจิทัลกว่า 35 รายทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้ก่อตั้งขึ้นด้วยแนวปฏิบัติที่ส่งเสริมนวัตกรรมและความคล่องตัว และได้เปรียบเหนือผู้เล่นรายเดิมอย่างมากในแง่ของความยืดหยุ่น การตอบสนองความต้องการของลูกค้า การออกแบบบริการให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมด้วยตนเอง รวมถึงการออกแบบบริการเฉพาะสำหรับบุคคล ดังนั้นการเกิดขึ้นของผู้เล่นรายใหม่และดิจิทัลดิสรัปชันที่สูงขึ้นในอุตสาหกรรมจะส่งผลกระทบด้านความเสี่ยงต่อรายได้ของผู้ให้บริการธนาคารแบบดั้งเดิมถึง 38% ภายในปีพ.ศ. 2568

สำหรับประเทศไทย ภายใน 5 ปีข้างหน้า 7% ของมูลค่าธุรกิจสำหรับกลุ่มลูกค้ารายย่อยของธนาคารชั้นนำในไทยจะดำเนินการโดยพันธมิตรของธนาคาร เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีน้อยกว่า 2% และมีธนาคารไทยหลายแห่งกำลังหาพันธมิตรเพื่อสร้างบริการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ โดยหวังจะสร้างคุณค่าจากจำนวนผู้ใช้งานในระบบนิเวศที่สูงขึ้น (Network effect) เพื่อเร่งเติบโตอย่างรวดเร็วผ่านเครือข่ายเปิดและการผลักดันความร่วมมือโดยใช้ API

การลงทุนเชิงกลยุทธ์และลำดับสำคัญของการเติบโตในปี 2568

 ในขณะที่อุตสาหกรรมธนาคารกำลังอยู่ในช่วงเวลาของการมุ่งสู่การเป็นดิจิทัลเป็นสิ่งแรกนั้น รายงานพบว่าธนาคารในเอเชียแปซิฟิกจะต้องนำศักยภาพของการออกแบบบริการส่วนบุคคลมาปรับใช้ในระดับที่กว้างขึ้น มุ่งตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น และเน้นความสำคัญของแพลตฟอร์มมากขึ้น

จุดสนใจหลักจะอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลและการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้งาน โดยภายในปีพ.ศ. 2568 ร้อยละ 44 ของธนาคารชั้นนำ 250 แห่งทั่วภูมิภาคจะเปลี่ยนผ่านไปสู่ “ระบบหลักที่เชื่อมต่อกัน” (Connected core) เป็นผลสำเร็จ และจะทำงานอยู่บนระบบแพลตฟอร์มและองค์ประกอบที่ทันสมัย พร้อมทั้งเปิดใช้งาน API ได้ และธนาคารกว่าร้อยละ 48 ในเอเชียแปซิฟิกยังคาดว่าจะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI หรือการเรียนรู้ของระบบ (Machine Learning หรือ ML) เพื่อใช้ประมวลข้อมูลและขับเคลื่อนการตัดสินใจต่างๆ ได้อีกด้วย

การเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลสร้างประโยชน์มากมายแก่ระบบหลักของธนาคาร เช่น การส่งมอบผลิตภัณฑ์ บริการ และให้ข้อมูลอย่างฉับพลันแก่ลูกค้าธนาคารรายย่อยเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถใช้กระบวนการอัตโนมัติเพื่อลดต้นทุนการดำเนินการและให้บริการลูกค้าองค์กรได้ดีขึ้น ท้ายที่สุดเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของระบบ (AI และ ML) จะสามารถนำความเฉลียวฉลาดมาใช้ในการตัดสินใจต่างๆ เพื่อบริหารความมั่งคั่งและเพิ่มประสิทธิภาพได้ โดยธนาคารรายใหญ่ 8 แห่งในไทยกำลังเล็งเพิ่มการลงทุน 50% เพื่อขยายสู่ธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง

นายฤทธี ดัตตา ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียของ Backbase กล่าวว่า “ไทยมีศักยภาพที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านการธนาคารยุคใหม่เนื่องจากธนาคารและบริษัทฟินเทคในประเทศมีความสามารถทางดิจิทัลที่พร้อมทำซ้ำและขยายธุรกิจได้ (Repeatable & Scalable) ในขณะเดียวกันคนไทยก็เปิดรับเทคโนโลยีทั้งการชำระเงินและการยืนยันตัวตนผ่านดิจิทัล หรือการผนวกโซเชียลมีเดียเข้ากับธุรกรรมต่างๆ ที่เติบโตสูงเป็นประวัติการณ์ การบูรณาการธนาคารผ่านกลยุทธ์ที่เน้นดิจิทัลเป็นสิ่งแรก (Digital-first) เข้ากับสถาปัตยกรรมระบบสมัยใหม่ที่พัฒนาอย่างแยกส่วน (Modular) ประกอบกับความร่วมมือกับบริษัทฟินเทคต่างๆ จะทำให้ธนาคารสามารถเสนอบริการที่แตกต่างและตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างไม่มีใครเหมือน”

นายไมเคิล อาราเนตา รองประธานบริษัท IDC Financial Insights เอเชียแปซิฟิก กล่าวเสริมว่า “การมุ่งเน้นดิจิทัลเป็นสิ่งแรก จำเป็นต้องผสานเทคโนโลยีเข้ากับการเปลี่ยนแปลงในทุกขั้นตอนของธุรกิจ กลยุทธ์การมีส่วนร่วม ช่องทางต่างๆ ตลอดจนรูปแบบธุรกิจของธนาคาร ข้อมูลเชิงลึกในรายงานฉบับนี้จะช่วยเตรียมความพร้อมให้แก่ธนาคารและผู้เล่นรายใหม่สำหรับอนาคต”

รายงาน Fintech and Digital Banking 2025 (เอเชียแปซิฟิก) โดย IDC โดยร่วมมือจัดทำกับ Backbase

About modify 4850 Articles
สามารถนำบทความไปเผยแพร่ได้อย่างอิสระ โดยกล่าวถึงแหล่งที่มา เป็นลิงค์กลับมายังบทความนั้นๆ บทความอาจมีการพิมพ์ตกเรื่องภาษาไปบ้าง ต้องขออภัย พยามจะพิมพ์ผิดให้น้อยที่สุด (ทำเว็บคนเดียวไม่มีคนตรวจทาน) บทความที่สอนเรื่องต่างๆ กรุณาอ่านบทความให้เข้าใจก่อนโพสต์ถาม ติดตรงไหนสามารถถามได้ที่โพสต์นั้นๆ

Be the first to comment

Leave a Reply

Your email address will not be published.