รายงานจาก TechCrunch เปิดเผยว่า Apple ได้ประกาศเปลี่ยนหัวหน้าฝ่าย AI อย่างเป็นทางการ โดย John Giannandrea ผู้ที่คุมยุทธศาสตร์ AI ของบริษัทมาตั้งแต่ปี 2018 ได้ประกาศก้าวลงจากตำแหน่งและจะทำหน้าที่ที่ปรึกษาจนถึงฤดูใบไม้ผลิปี 2026 หลังจากนั้นจะออกจากบริษัทอย่างสมบูรณ์

ตำแหน่งหัวหน้า AI คนใหม่คือ Amar Subramanya อดีตผู้บริหาร Microsoft และอดีตวิศวกรอาวุโสของ Google ที่ทำงานยาวนานถึง 16 ปี โดยบทบาทสุดท้ายของเขาที่ Google คือหัวหน้าทีมวิศวกรรม Gemini Assistant ทำให้ Subramanya เป็นผู้ที่รู้กลยุทธ์ของคู่แข่งทั้ง Google และ Microsoft อย่างลึกซึ้ง

การเปลี่ยนตัวผู้นำฝ่าย AI เกิดขึ้นในช่วงที่โครงการ Apple Intelligence ประสบปัญหาอย่างหนักตั้งแต่เปิดตัวในเดือนตุลาคม 2024 โดยฟีเจอร์สรุปการแจ้งเตือนเคยสร้างพาดหัวข่าวปลอมหลายครั้งในปี 2024–2025 เช่น การรายงานผิดเกี่ยวกับคดีของผู้ต้องหาฆ่า CEO ของ UnitedHealthcare และการระบุผิดว่านักดาร์ท Luke Littler ชนะการแข่งขันก่อนรอบชิงจะเริ่มต้น

ข่าวยังระบุว่าสถานการณ์ยิ่งแย่ลงเมื่อ Siri เวอร์ชันใหม่ที่สัญญาว่าจะ “พัฒนาใหม่ครั้งใหญ่” กลับทำงานไม่ได้ตามที่ประกาศไว้ รายงานจาก Bloomberg ระบุว่า Craig Federighi ทดลองฟีเจอร์ Siri ใหม่บน iPhone ของตนเองในเดือนเมษายน 2025 แต่พบว่าหลายฟีเจอร์ไม่ทำงานจนต้องเลื่อนเปิดตัวอย่างไม่มีกำหนด ทำให้ผู้ซื้อ iPhone 16 ฟ้องร้องแบบ class-action จากการคาดหวัง Siri รุ่นใหม่ที่ใช้งานไม่ได้จริง

บทความยังกล่าวถึงปัญหาภายใน Apple เช่น ความสื่อสารที่ผิดพลาดระหว่างทีม AI และทีมการตลาด งบประมาณที่ไม่ตรงทิศ และการแยกทีม Robotics กับ Siri ออกจากการควบคุมของ Giannandrea ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2025 รวมถึงการลาออกของนักวิจัย AI จำนวนมากไปยัง OpenAI, Google และ Meta

รายงานยังเผยว่า Apple ได้พึ่งพา Google Gemini เพื่อพัฒนา Siri รุ่นถัดไป ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญหลังจากทั้งสองบริษัทแข่งขันกันมาตลอดกว่า 15 ปีในหลายตลาดตั้งแต่ระบบปฏิบัติการ แผนที่ บราวเซอร์ คลาวด์ จนถึง AI

Amar Subramanya จะขึ้นตรงกับ Craig Federighi และได้รับภารกิจหลักในการพัฒนา AI ให้ Apple กลับมาแข่งขันกับคู่แข่งได้อีกครั้ง ในขณะที่ Apple ยังคงใช้แนวทางเน้นประมวลผลบนอุปกรณ์ (on-device) ผ่านชิป Apple Silicon ซึ่งช่วยด้านความเป็นส่วนตัว แต่ต้องแลกมาด้วยความสามารถของโมเดลที่เล็กกว่าและข้อจำกัดจากการไม่เก็บข้อมูลผู้ใช้มากเท่าคู่แข่งที่ใช้ข้อมูลจริงจำนวนมหาศาลในการฝึกโมเดล

ที่มา: TechCrunch