X
MODIFY: Technology News
Technology, Innovation, and Education เทคนิดการใช้งาน สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ เรื่องไอที

อัปเดต Windows 11 ไม่ได้ขึ้น We couldn’t install this update, but you can try again (0x800f0991) เกิดจากอะไร แก้ไขอย่างไง

We couldn’t install this update, but you can try again (0x800f0991)

หากคุณอัปเดต Windows 11 ไม่ได้แล้วขึ้นข้อความ We couldn’t install this update, but you can try again (0x800f0991)  ไม่ว่าจะพยามกด Download & Install ไปเท่าไหร่ก็ขึ้นข้อความดังกล่าว อาจเกิดคำถามว่าข้อความดังกล่าวคืออะไร และจะแก้ไขอย่างไรให้สามารถอัปเดต Windows ได้ บทความนี้จะมาแนะนำวิธีต่างๆ เพื่อทดสอบแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ในปัญหาดังกล่าว

ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นเมื่อคุณเจอข้อความ We couldn’t install this update, but you can try again (0x800f0991)

เป็นปัญหาที่เกิดระหว่างการติดตั้ง Feature Update (อัปเดตใหญ่ เช่น 25H2) มักสัมพันธ์กับ Component Store (WinSxS) หรือไฟล์ระบบบางอย่างที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้ Windows ไม่สามารถ apply package ได้ อีกสาเหตุที่เจอบ่อยคือ การอัปเดตทับ cumulative update เก่าไม่สมบูรณ์ หรือ service ของ Windows Update มีไฟล์ค้าง

เกิดจากสาเหตุหลักๆคือ

  • ไฟล์ระบบมีความเสียหายบางส่วน
  • ไฟล์ในโฟลเดอร์ update (SoftwareDistribution, Catroot2) ค้างหรือผิดพลาด
  • ปัญหาจาก driver หรือ patch เก่าที่ติดตั้งค้างอยู่
  • Windows Update service ทำงานไม่สมบูรณ์

แนวทางการแก้ไขปัญหาเบื้องต้น

  • ใช้ Windows Update Troubleshooter ให้ระบบตรวจและซ่อมแซมอัตโนมัติ
  • รัน sfc /scannow และ DISM /Online /Cleanup-Image /RestoreHealth เพื่อตรวจและซ่อมแซมไฟล์ระบบ
  • เคลียร์โฟลเดอร์ SoftwareDistribution และ Catroot2 แล้วลองอัปเดตใหม่
  • ถ้ายังไม่ได้ ใช้ Windows 11 Installation Assistant หรือดาวน์โหลด ISO 25H2 มาทำ in-place upgrade

การแก้ไขวิธีข้างต้นแบบละเอียด

1. restart คอมพิวเตอร์

ให้ทดสอบทำการรีสตาร์ทคอมพิวเตอร์จองคุณใหม่ 1 ครั้ง อาจมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นได้ระหว่างการอัปเดต การให้คอมพิวเตอร์ใหม่ขึ้นใหม่อาจช่วยเคลียรปัญหาเบื้องต้นได้

2. ใช้ Windows Update Troubleshooter ให้ระบบตรวจและซ่อมแซมอัตโนมัติ

  1. ไปที่ Settings > System > Troubleshoot > Other troubleshooters
  2. เลือก Windows Update > Run
  3. ให้ระบบตรวจและซ่อมแซมอัตโนมัติ

3. รัน DISM /Online /Cleanup-Image /RestoreHealth และ sfc /scannow เพื่อตรวจและซ่อมแซมไฟล์ระบบ

  • เปิด Command Prompt (Run as Administrator) แล้วรันคำสั่ง
  • DISM /Online /Cleanup-Image /RestoreHealth
  • sfc /scannow
  • ดูรายละเอียดการซ่อมไฟล์ Windows

4. เคลียร์ไฟล์ Update เก่า

  • กด Win + R แล้วพิมพ์ services.msc
  • หาบริการชื่อ Windows Update → คลิกขวา → กด Stop
  • ทำแบบเดียวกันใน Cryptographic Services คลิกขวา → กด Stop
  • ไปที่โฟลเดอร์ C:\Windows\SoftwareDistribution และ C:\Windows\System32\catroot2 แล้วลบไฟล์ทั้งหมดในนั้น
  • กลับไปที่ services.msc → Start Windows Update ใหม่
  • ลองกด Check for updates อีกครั้ง

ทำไมต้องลบ?

โฟลเดอร์ C:\Windows\SoftwareDistribution ทำหน้าที่เป็นแคชสำหรับไฟล์ที่เกี่ยวข้องกับการอัปเดต Windows โดยเมื่อคุณพยายามอัปเดตระบบ Windows จะดาวน์โหลดไฟล์ที่จำเป็นและเก็บไว้ในโฟลเดอร์นี้ก่อนที่จะติดตั้ง หากไฟล์ในโฟลเดอร์นี้เกิดความเสียหายหรือติดขัดด้วยเหตุผลบางอย่าง อาจทำให้กระบวนการอัปเดต Windows หยุดชะงักและไม่สำเร็จ การลบไฟล์เหล่านี้จะเป็นการบังคับให้ Windows Update ดาวน์โหลดไฟล์ที่จำเป็นใหม่อีกครั้ง ซึ่งมักจะช่วยแก้ไขปัญหาการอัปเดตที่ติดขัดได้

โฟลเดอร์ C:\Windows\System32\catroot2 ทำหน้าที่เก็บไฟล์ “ลายเซ็นดิจิทัล” (digital signatures) ของแพ็กเกจ Windows Update ที่ดาวน์โหลดมา ซึ่งใช้ในการยืนยันความถูกต้องของไฟล์อัปเดตเหล่านั้น หากไฟล์ในโฟลเดอร์ Catroot2 เกิดความเสียหายหรือติดขัด จะทำให้ Windows ไม่สามารถตรวจสอบความถูกต้องของไฟล์อัปเดตได้ ส่งผลให้การติดตั้งล้มเหลว ดังนั้นการลบไฟล์ในโฟลเดอร์นี้จะช่วยบังคับให้ระบบสร้างโฟลเดอร์ Catroot2 ใหม่ที่สมบูรณ์ขึ้นมาอีกครั้งเมื่อคุณรัน Windows Update ใหม่

ทำไมต้องหยุด Services Windows Update? เมื่อบริการ Windows Update กำลังทำงานอยู่ ระบบจะมีการเข้าถึงและใช้งานไฟล์ต่างๆ ภายในโฟลเดอร์ SoftwareDistribution ตลอดเวลา หากคุณพยายามลบไฟล์ในขณะที่บริการกำลังทำงานอยู่ ระบบจะขึ้นข้อความแจ้งเตือนว่า “ไฟล์กำลังถูกใช้งาน” หรือ “Access is denied” ทำให้คุณไม่สามารถลบไฟล์ได้

หากไม่สามารถลบไฟล์ได้ให้ทำตามขั้นตอนนี้

ขั้นตอนการแก้ไขปัญหาที่สมบูรณ์

การแก้ไขปัญหา Windows Update ที่มีประสิทธิภาพที่สุด โดยมีขั้นตอนดังนี้

  1. หยุดบริการ Windows Update และ Cryptographic Services
    • เปิด Command Prompt ในโหมดผู้ดูแลระบบ (Run as administrator)
    • พิมพ์คำสั่งดังต่อไปนี้แล้วกด Enter ทีละบรรทัด:
      net stop wuauserv
      net stop cryptSvc
      net stop bits
      net stop msiserver
  2. ลบไฟล์ในโฟลเดอร์ SoftwareDistribution และ Catroot2
    • ไปที่โฟลเดอร์ C:\Windows\SoftwareDistribution และลบไฟล์และโฟลเดอร์ย่อยทั้งหมด
    • ไปที่โฟลเดอร์ C:\Windows\System32\catroot2 และลบไฟล์และโฟลเดอร์ย่อยทั้งหมด
  3. เริ่มบริการที่หยุดไป
    • กลับไปที่ Command Prompt ที่เปิดค้างไว้
    • พิมพ์คำสั่งดังต่อไปนี้แล้วกด Enter ทีละบรรทัด:
      net start wuauserv
      net start cryptSvc
      net start bits
      net start msiserver

ถ้าลบไฟล์ไม่ได้ทั้งหมดให้ทำขั้นตอนนี้

ใสกรณีที่ลบ catroot2 ไม่ได้ให้เปลี่ยนชื่อโฟลเดอร์แทน โดยการสั่งหยุด Service cryptsvc และสั่งเปลี่ยนชื่อทันที (แนะนำให้สั่งคำสั่งติดต่อกันแบบรวดเร็วป

  • net stop cryptsvc
  • ren C:\Windows\System32\catroot2 catroot2.old
  • net start cryptsvc

ทำแบบเดียวกันในกรณีของ C:\Windows\SoftwareDistribution

จากนั้นให้ทำการ restart เครื่องใหม่ ระบบจะสร้างโฟลเดอร์ทั้ง 2 มาใหม่แบบไฟล์การอัปเดตจะมีการเปลี่ยนแปลงเรียบร้อยแล้ว

5. ดาวน์โหลด Windows 11 Installation Assistant หรือ Media Creation Tool จากเว็บ Microsoft

Windows Installation Assistant เป็นเครื่องมือที่ช่วยติดตั้ง Windows 11 โดยเฉพาะ ไม่ใช่ตัวช่วยสำหรับแก้ไขปัญหา Windows Update ทั่วไป แม้ว่าเครื่องมือนี้ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหา Windows Update แต่ Windows Installation Assistant สามารถช่วยในการอัปเดตใหญ่ๆ (Feature Updates) ได้ เช่น จาก Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 ไปเป็น 25H2 เมื่อมีการอัปเดตใหญ่ๆ เช่น 25H2, Windows จะเริ่มปล่อยให้อัปเดตผ่านช่องทางหลักอย่าง Windows Update ก่อน อย่างไรก็ตาม บางครั้งการอัปเดตผ่านช่องทางนี้อาจติดปัญหาหรือไม่ปรากฏขึ้นเนื่องจากสาเหตุต่างๆ เช่น ไฟล์ระบบเสียหาย, การตั้งค่า Windows Update มีปัญหา, มีการบล็อกการอัปเดตชั่วคราว (safeguard hold) เพื่อป้องกันปัญหาความเข้ากันได้ของฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ ในสถานการณ์เหล่านี้ Windows 11 Installation Assistant จะกลายเป็นทางเลือกที่ดีการอัปเดต เนื่องจากมันจะข้ามกระบวนการตรวจสอบบางอย่างของ Windows Update และดาวน์โหลดไฟล์ติดตั้งเวอร์ชันล่าสุดมาโดยตรง จากนั้นจะทำการติดตั้งทับ (in-place upgrade) ซึ่งโดยปกติแล้วจะช่วยแก้ไขปัญหาที่ขัดขวางการอัปเดตได้

การแก้ไขปัญหา Windows Update โดยใช้ Windows 11 Installation Assistant นี่คือขั้นตอนคร่าวๆ ที่คุณสามารถทำตามได้

ขั้นตอนการใช้ Windows 11 Installation Assistant

  1. ดาวน์โหลดเครื่องมือ
    • ไปที่เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ Microsoft สำหรับดาวน์โหลด Windows 11: Download Windows 11
    • ในส่วนหัวข้อ “Download Windows 11” ให้มองหาและคลิกปุ่ม “Download Now” ใต้หัวข้อ “Windows 11 Installation Assistant” เพื่อดาวน์โหลดไฟล์ exe ของเครื่องมือนี้
  2. เรียกใช้เครื่องมือ
    • เปิดไฟล์ที่คุณเพิ่งดาวน์โหลดมา (ไฟล์ .exe)
    • ยอมรับเงื่อนไขการใช้งาน (Terms of Use)
  3. ตรวจสอบความเข้ากันได้
    • เครื่องมือจะทำการตรวจสอบความเข้ากันได้ของฮาร์ดแวร์โดยอัตโนมัติเพื่อให้แน่ใจว่าคอมพิวเตอร์ของคุณรองรับการติดตั้ง Windows 11 เวอร์ชันล่าสุดได้
    • หากคอมพิวเตอร์ของคุณผ่านการตรวจสอบ เครื่องมือจะแสดงหน้าจอที่ระบุว่า “The PC meets all requirements”
  4. เริ่มกระบวนการติดตั้ง
    • คลิกปุ่ม “Accept and Install” หรือ “Install”
    • เครื่องมือจะเริ่มดาวน์โหลดไฟล์ Windows 11 เวอร์ชันล่าสุด ซึ่งอาจใช้เวลาพอสมควรขึ้นอยู่กับความเร็วอินเทอร์เน็ตของคุณ
    • เมื่อดาวน์โหลดเสร็จสิ้น เครื่องมือจะเริ่มกระบวนการติดตั้งโดยอัตโนมัติ
  5. การติดตั้งเสร็จสิ้น
    • หลังจากกระบวนการติดตั้งเสร็จสิ้น เครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณจะรีสตาร์ทหลายครั้ง
    • เมื่อการติดตั้งเสร็จสมบูรณ์แล้ว คุณจะเข้าสู่หน้าจอ Desktop ของ Windows 11 เวอร์ชันใหม่
    • คุณควรตรวจสอบการอัปเดตอีกครั้งผ่าน Settings > Windows Update เพื่อให้แน่ใจว่าระบบของคุณทันสมัยที่สุด

การใช้ Windows 11 Installation Assistant ไม่ใช่การลง Windows ใหม่แบบล้างเครื่อง แต่เป็นการ อัปเกรดทับ (in-place upgrade)

  • ไฟล์ส่วนตัว (Documents, Pictures, Videos ฯลฯ) จะถูกเก็บไว้ครบ
  • โปรแกรมและแอปที่ติดตั้งไว้จะยังอยู่เหมือนเดิม
  • การตั้งค่าส่วนใหญ่ก็จะถูกเก็บไว้

ข้อควรทำก่อน: ถึงแม้มันจะไม่ลบไฟล์หรือโปรแกรม แต่เพื่อความปลอดภัย ควร สำรองข้อมูลสำคัญ ไว้เสมอ (External HDD หรือ Cloud) เผื่อกรณีเกิดปัญหาระหว่างการอัปเดต

คำแนะนำทั้ง 5 ข้อที่กล่าวมาเป็นเพียงแนวทางในการแก้ไขปัญหาให้ทดสอบลองแก้ไขปัญหาจากข้อ 1 – 5 และที่สำคัญอย่าลืมตรวจสอบพื้นที่ว่างในคอมพิวเตอร์ของคุณ อาจตกม้าตายในสิ่งที่คาดไม่ถึง Windows Update โดยเฉพาะการอัปเดตข้ามเวอร์ชันอาจใช้งานพื้นที่จำนวนมาก (อย่างน้อย 20GB) การที่พื้นที่เหลือน้อยอาจเป็นสาเหตุหลักในการล้มเหลวของการอัปเดต Windows ของคุณได้ และหากลองทุกวิธีแล้วยังไม่ได้ อาจต้องรอ Microsoft ปล่อยแพตช์แก้ไขเพิ่มเติม เพราะบางครั้งเป็นปัญหาที่ Microsoft กันไว้ด้วย safeguard hold เอง