Sergey Brin ผู้ร่วมก่อตั้ง Google ยอมรับเคยมั่นใจตัวเองมากไป คิดว่าตัวเองเป็น Steve Jobs คนถัดไป ส่งผล Google Glass ล้มเหลว
ในการกล่าวสุนทรพจน์เนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด Sergey Brin ผู้ร่วมก่อตั้ง Google ได้ย้อนรอยถึงบทเรียนราคาแพงจาก Google Glass อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะที่เคยสร้างความฮือฮาเมื่อปี 2012 แต่กลับล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าในเชิงพาณิชย์ โดยเขาสรุปประเด็นสำคัญไว้ดังนี้
- ความหลงระเริงในบทบาทนวัตกร: Brin ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า ในเวลานั้นเขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็น “Steve Jobs คนถัดไป” ที่จะสามารถเนรมิตนวัตกรรมใหม่ให้โลกยอมรับได้ทันที ความเชื่อมั่นนี้ทำให้เขาเร่งรีบเข็นผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดก่อนที่มันจะ “สุกงอม” หรือพร้อมสำหรับการใช้งานจริง
- บทเรียนเรื่องความใจร้อน: เขาให้คำแนะนำแก่นักธุรกิจรุ่นใหม่ว่า หากมีไอเดียอุปกรณ์ที่เจ๋งแค่ไหนก็ตาม ควรทำให้มันสมบูรณ์แบบ (fully bake) เสียก่อนที่จะจัดงานเปิดตัวที่เน้นความหวือหวาหรือการแสดงโชว์ที่อลังการ
สาเหตุหลักของความล้มเหลว
- การเร่งทำตลาด (Too Early): สินค้าถูกวางขายในขณะที่ยังขาดความละเอียดรอบคอบในแง่ของประสบการณ์ผู้ใช้
- ปัญหาด้านดีไซน์และราคา: รูปลักษณ์ที่ดูแปลกแยก กล้องที่สร้างความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว และราคาที่สูงถึง $1,500 (ประมาณ 70,000 กว่าบาทในค่าเงินปัจจุบัน) ซึ่งแพงกว่าแว่นอัจฉริยะยอดนิยมในปัจจุบันอย่าง Meta Ray-Ban เกือบเท่าตัว
- การเปรียบเทียบกับ Apple ข่าวระบุว่าแม้แต่ Apple เองก็เคยล้มเหลวกับสินค้าอย่าง Apple Newton แต่ความต่างคือ Apple นำความพ่ายแพ้นั้นมาเป็นบทเรียนในการพัฒนา iPhone ซึ่งต้องรอดูว่า Google จะนำบทเรียนจาก Google Glass มาปรับใช้กับเทคโนโลยีใหม่ๆ ในอนาคตอย่างไร
การยอมรับในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้แต่นักประดิษฐ์ระดับโลกก็สามารถก้าวพลาดได้หากปล่อยให้อีโก้และความมั่นใจนำหน้าความพร้อมของเทคโนโลยี
ที่มา – appleinsider.com