X
MODIFY: Technology News
Technology, Innovation, and Education เทคนิดการใช้งาน สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ เรื่องไอที

Microsoft เดินหน้านวัตกรรมความปลอดภัยและความยืดหยุ่นของ Windows 11 รองรับองค์กรยุค AI ด้วยการลดความเสี่ยงและฟื้นตัวเร็วขึ้น

Windows 11 เสริมความปลอดภัยระดับองค์กร พร้อมระบบฟื้นตัว (resiliency) เพื่อรองรับอนาคตของภัยคุกคามและยุค AI

Microsoft ประกาศชุดฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยและความยืดหยุ่นของ Windows 11 และระบบนิเวศ Windows สำหรับองค์กร โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยองค์กรลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามสมัยใหม่ ฟื้นตัวได้รวดเร็วขึ้นหลังเกิดเหตุการณ์ และเตรียมพร้อมสำหรับยุคที่ AI ถูกใช้งานอย่างแพร่หลายมากขึ้น ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของทิศทาง “Preparing for What’s Next” ซึ่ง Microsoft ย้ำว่า Windows จำเป็นต้องปลอดภัยโดยพื้นฐานและมีความยืดหยุ่นในระดับแพลตฟอร์ม

Microsoft เพิ่มความสามารถใหม่ด้านคริปโตกราฟีและการปกป้องข้อมูล เริ่มจากการนำ Post-Quantum Cryptography (PQC) เข้าสู่ Windows เพื่อช่วยให้องค์กรเตรียมตัวรับการมาถึงของคอมพิวเตอร์ควอนตัมที่สามารถคาดการณ์การถอดรหัสแบบเดิมได้ง่ายขึ้น องค์กรสามารถเริ่มทดสอบและประเมินความพร้อมของระบบเข้ารหัสในอนาคตได้ตั้งแต่วันนี้

Windows ยังเพิ่มการรองรับ Hardware-accelerated BitLocker ซึ่งใช้ฮาร์ดแวร์เฉพาะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการเข้ารหัสดิสก์ ฟีเจอร์นี้เตรียมพร้อมใช้งานบนอุปกรณ์ใหม่ตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิปี 2026 เพื่อเพิ่มทั้งความเร็ว ความปลอดภัย และลดภาระของหน่วยประมวลผลหลัก

Windows Hello และ Passkey ครอบคลุมมากขึ้น

การยืนยันตัวตนแบบไม่มีรหัสผ่านก้าวหน้าไปอีกขั้น โดย Windows Hello สามารถทำงานร่วมกับ Passkey ข้ามแพลตฟอร์มผ่านบริการจัดการรหัสผ่านยอดนิยม เช่น Microsoft Edge Password Manager, 1Password, Bitwarden และผู้ให้บริการอื่น ๆ ทำให้องค์กรสามารถวางระบบรักษาความปลอดภัยแบบไม่ต้องพึ่งพารหัสผ่านได้อย่างเป็นรูปธรรมและใช้งานได้จริงทั่วทั้งองค์กร

App Control for Business เสริมความเชื่อมั่นในการรันแอปและไดรเวอร์

App Control for Business ขยายความสามารถให้เฉพาะแอปพลิเคชันและไดรเวอร์ที่ได้รับการตรวจสอบและอนุมัติเท่านั้นที่สามารถรันบนอุปกรณ์องค์กรได้ ซึ่งเป็นการลดความเสี่ยงจากมัลแวร์ ไฟล์แนบอันตราย และการโจมตีที่แฝงมากับซอฟต์แวร์ที่ไม่ปลอดภัย

เสริมการมองเห็นภัยคุกคามด้วย Sysmon บน Windows โดยตรง

หนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญคือความสามารถของ Sysmon จะถูกผนวกรวมเข้ากับ Windows ช่วยให้ทีมความปลอดภัยมีข้อมูลลึกในการตรวจจับพฤติกรรมที่ผิดปกติ ปรับแต่งสัญญาณการแจ้งเตือน (custom threat detection signals) และใช้งานได้ง่ายกว่าการติดตั้งด้วยตัวเองเหมือนแต่ก่อน

การเชื่อมต่อที่ปลอดภัยด้วย Zero Trust DNS และ Wi-Fi 7

Windows เพิ่ม Zero Trust DNS ซึ่งจะให้องค์กรควบคุมทราฟฟิก DNS ขาออกและจำกัดเฉพาะ DNS ที่อนุญาตเท่านั้น พร้อมเข้ารหัสการเชื่อมต่อเพื่อลดช่องโหว่จากการโจมตีระดับเครือข่าย และช่วยให้องค์กรปฏิบัติตามมาตรฐาน NIST ได้ง่ายขึ้น

ในด้านการเชื่อมต่อไร้สาย Windows รองรับ Wi-Fi 7 สำหรับองค์กรโดยกำหนดการใช้งาน WPA3-Enterprise เป็นค่าเริ่มต้น เพื่อเพิ่มความเร็วและความปลอดภัยของเครือข่ายภายในองค์กร

Windows Resiliency Initiative (WRI): ป้องกัน–ตอบสนอง–ฟื้นตัว

Microsoft ระบุว่าโครงการ Windows Resiliency Initiative ที่เปิดตัวปีก่อนยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยครอบคลุมทั้งการป้องกันเหตุ การจัดการระหว่างเกิดเหตุ และการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

  • เพิ่มความปลอดภัยระดับไดรเวอร์ โดยกำหนดให้ไดรเวอร์ Antivirus ต้องถูกเซ็นชื่ออย่างถูกต้องตั้งแต่เดือนเมษายน 2025 เป็นต้นไป
  • ระบบป้องกันใน endpoint ถูกปรับจาก kernel mode ไปสู่ user mode เพื่อให้มีเสถียรภาพมากขึ้นและลดผลกระทบต่อระบบในกรณีเกิดปัญหา
  • องค์กรสามารถใช้ Windows 365 Reserve เพื่อมอบเครื่อง Cloud PC ให้พนักงานอย่างรวดเร็วในกรณีอุปกรณ์สูญหายหรือใช้การไม่ได้ ทำให้การทำงานไม่หยุดชะงัก
  • Intune สามารถแจ้งเตือนเมื่ออุปกรณ์บูตเข้าสู่ Windows Recovery Environment (WinRE) เพื่อให้ทีม IT เข้าตรวจสอบความเสี่ยงได้ทันที
  • เพิ่ม Digital Signage Mode สำหรับอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่แสดงผลสาธารณะ เช่น ป้ายดิจิทัลหรือคีออสก์

ฟีเจอร์ทั้งหมดสะท้อนทิศทางของ Windows ในการเป็นแพลตฟอร์มที่ “ปลอดภัยโดยพื้นฐานและมีความยืดหยุ่นพร้อมฟื้นตัวได้รวดเร็ว” เพื่อรองรับองค์กรในยุค AI ที่ภัยคุกคามมีความซับซ้อนมากขึ้น Microsoft ย้ำว่าการยกระดับทั้งด้านความปลอดภัย การเข้ารหัส การควบคุมแอป และความสามารถด้านการฟื้นตัวจะช่วยให้องค์กรรับมือเหตุการณ์ได้ดีขึ้น ลดความเสียหาย และเตรียมพร้อมต่ออนาคตที่กำลังจะมาถึง

ที่มา: blogs.windows.com