ข้อความ “Slow Charger” บน iPhone หมายถึงการชาร์จช้ากว่าปกติ เนื่องจากใช้อะแดปเตอร์หรือสายที่มีกำลังไฟต่ำเกินไป พร้อมวิธีแก้ให้กลับมาชาร์จเร็วตามปกติ
หลังอัปเดตเป็น iOS 26 หลายคนอาจสังเกตเห็นว่าหน้าล็อกสกรีนของ iPhone จะแสดงเวลาโดยประมาณในการชาร์จถึง 80% แต่ถ้าใช้อุปกรณ์ชาร์จที่ไม่เร็วพอ ระบบจะขึ้นข้อความ “Slow Charger” แทน ซึ่งหมายถึง อะแดปเตอร์หรือสายชาร์จที่ใช้อยู่มีกำลังไฟไม่เพียงพอ ทำให้ไม่สามารถเข้าสู่โหมดชาร์จเร็วได้

สาเหตุหลักมักมาจากการใช้อะแดปเตอร์รุ่นเก่าหรือสายที่ไม่ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะเมื่อเปลี่ยนจากพอร์ต Lightning ไปเป็น USB-C ผู้ใช้จำนวนมากยังคงใช้หัวชาร์จเดิมที่รองรับพลังงานเพียง 5-7.5 วัตต์ ในขณะที่ iPhone รุ่นใหม่ต้องการอะแดปเตอร์อย่างน้อย 30 วัตต์ขึ้นไป เพื่อรองรับการชาร์จเร็ว (Fast Charging)
ตัวอย่างเช่น หากใช้อะแดปเตอร์แบบ USB-A ที่เป็นพอร์ตสี่เหลี่ยม จะใช้เวลาชาร์จนานถึง 3 ชั่วโมงขึ้นไป แต่ถ้าใช้อะแดปเตอร์แบบ USB-C 30 วัตต์ จะสามารถชาร์จจาก 0-50% ได้ในเวลาน้อยกว่า 30 นาที
Apple แนะนำอะแดปเตอร์รุ่นใหม่อย่าง Dynamic Charger เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด แต่ในทางปฏิบัติ อะแดปเตอร์ USB-C มาตรฐานที่รองรับ Power Delivery จากแบรนด์อย่าง Anker หรือ Belkin ก็สามารถชาร์จได้เร็วเช่นกันโดยไม่ต่างจากของ Apple มากนัก
ผู้ใช้บางรายอาจพบข้อความ “Slow Charger” เมื่อชาร์จแบบไร้สาย สาเหตุอาจมาจากแท่นชาร์จ Qi รุ่นแรก ที่ส่งกำลังไฟไม่ถึง 10 วัตต์ หากต้องการชาร์จเร็วแบบไร้สาย ควรเลือกอุปกรณ์ที่รองรับ MagSafe หรือมีโลโก้ Qi2 ซึ่งสามารถให้กำลังสูงสุดถึง 25 วัตต์
ตัวอย่างเช่น แท่นชาร์จ Belkin MagSafe สามารถชาร์จ iPhone ได้สูงสุด 25 วัตต์ พร้อมช่องชาร์จ AirPods ในตัว ส่วนแท่นชาร์จไร้สายทั่วไปที่รองรับ 15 วัตต์ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับใช้งานประจำวัน
แม้ iPhone จะแจ้งเตือนว่า “Slow Charger” แต่ไม่ได้หมายความว่าอุปกรณ์จะเสียหาย การชาร์จช้ากว่าเดิมไม่ได้ส่งผลต่อความปลอดภัยของแบตเตอรี่ เพียงแค่ไม่สะดวกหากต้องการชาร์จให้เต็มในเวลาสั้น ๆ
หากคุณชาร์จตอนกลางคืนหรือตอนพัก ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่ แต่ถ้าต้องการชาร์จเร็วระหว่างวัน เช่น ที่โต๊ะทำงานหรือในห้องครัว การใช้อะแดปเตอร์และสายที่รองรับ Fast Charging จะช่วยให้ประสิทธิภาพสูงสุดและใช้เวลาน้อยลง
Leave a Reply