
หลักการทำงานของการลบข้อมูลต่างๆใน HDD หรือ SSD ของ Windows
ในระบบ Windows เมื่อคุณลบไฟล์และแม้กระทั่งล้างถังขยะไปแล้ว ข้อมูลที่คุณเคยเห็นในระบบก็ยังสามารถกู้คืนได้ในบางกรณี เพราะการ “ลบ” ไฟล์ในระบบปฏิบัติการนั้นไม่ได้หมายความว่าข้อมูลนั้นถูกลบออกจากฮาร์ดดิสก์ทันที แต่เป็นเพียงการทำเครื่องหมายให้พื้นที่ที่ไฟล์นั้นเคยอยู่พร้อมสำหรับการเขียนข้อมูลใหม่ในอนาคตเท่านั้น นี่คือรายละเอียดและเหตุผลเบื้องหลัง พร้อมกับแนวทางการทำให้การลบข้อมูลนั้นปลอดภัยและไม่สามารถกู้คืนได้
1. หลักการทำงานของการลบไฟล์ใน Windows
1.1 การลบไฟล์และถังขยะ
- การลบไฟล์: เมื่อคุณลบไฟล์จาก Windows ไม่ว่าจะผ่านการกดปุ่ม Delete หรือจากคำสั่งอื่น ๆ ระบบจะทำการย้ายไฟล์นั้นไปยังถังขยะ (Recycle Bin) ซึ่งเป็นที่เก็บไฟล์ที่ถูกลบเพื่อให้คุณสามารถกู้คืนได้ในกรณีที่เกิดข้อผิดพลาด
- การล้างถังขยะ: เมื่อคุณล้างถังขยะ ระบบจะทำการลบการอ้างอิงของไฟล์เหล่านั้นออกจากระบบไฟล์ แต่ข้อมูลจริง ๆ ที่อยู่บนฮาร์ดดิสก์จะยังคงอยู่ในพื้นที่ที่ถูก “ปล่อยว่าง” เพื่อรอการเขียนทับในอนาคต
1.2 การทำเครื่องหมายเป็นพื้นที่ว่าง
- ระบบไฟล์: ระบบไฟล์ของ Windows (เช่น NTFS) เมื่อมีการลบไฟล์จะไม่ลบข้อมูลจริงในทันที แต่จะทำการเปลี่ยน “ตารางการจัดเก็บ” (File Allocation Table) หรือ “Master File Table” (MFT) ให้ข้อมูลไฟล์นั้นถูกมองว่าเป็นพื้นที่ว่าง ซึ่งรอการบันทึกข้อมูลใหม่เข้าไปแทนที่ข้อมูลเดิม
- ผลกระทบ: การที่ข้อมูลยังคงอยู่บนดิสก์ทำให้สามารถใช้โปรแกรมกู้ข้อมูล (Data Recovery Software) ในการสแกนและดึงข้อมูลเดิมที่ยังไม่ถูกเขียนทับได้
2. เหตุผลที่ข้อมูลที่ถูกลบยังสามารถกู้คืนได้
2.1 การไม่ถูกลบออกจริง
- ข้อมูลยังคงอยู่: เมื่อข้อมูลถูก “ลบ” โดย Windows จะไม่ได้ลบข้อมูลออกจากฮาร์ดดิสก์ทันที แต่เพียงแต่เปลี่ยนสถานะในตารางการจัดเก็บเท่านั้น
- รอการเขียนทับ: ถ้าหากไม่มีข้อมูลใหม่ถูกบันทึกในพื้นที่นั้น ข้อมูลเก่ายังคงสามารถเข้าถึงได้ด้วยเครื่องมือกู้คืนข้อมูล
2.2 การทำงานของโปรแกรมกู้ข้อมูล
- การสแกนแบบเจาะลึก: โปรแกรมกู้ข้อมูลจะทำการสแกนพื้นที่ว่างในดิสก์และพยายามเรียงลำดับและวิเคราะห์ลักษณะของไฟล์เดิมเพื่อทำการกู้คืนข้อมูล
- การวิเคราะห์ส่วนของข้อมูล: ด้วยการตรวจจับ file signature โปรแกรมสามารถระบุประเภทของไฟล์และดึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องออกมาได้
3. การป้องกันไม่ให้ข้อมูลถูกกู้คืน
3.1 การเขียนทับข้อมูล (Data Overwriting)
- วิธีการทำงาน: การเขียนทับข้อมูลคือการที่ระบบทำการบันทึกข้อมูลใหม่ทับที่ข้อมูลเดิมในพื้นที่ว่าง ทำให้ข้อมูลเดิมไม่สามารถเรียกคืนได้
- เครื่องมือที่ใช้: มีโปรแกรมหลายตัวที่ออกแบบมาเพื่อการเขียนทับข้อมูลอย่างปลอดภัย เช่น Eraser, CCleaner, DBAN (Darik’s Boot and Nuke) ซึ่งจะทำการเขียนทับหลายรอบตามมาตรฐานที่กำหนด (เช่น DoD 5220.22-M หรือ Gutmann method)
3.2 การใช้ฟังก์ชัน “Secure Delete”
- Secure Delete: ฟังก์ชันนี้จะทำงานในลักษณะคล้ายกับการเขียนทับข้อมูลเพื่อให้แน่ใจว่าไฟล์ที่ถูกลบจะไม่สามารถกู้คืนได้ สำหรับผู้ใช้งานขั้นสูง การใช้เครื่องมือจาก Microsoft Sysinternals อย่าง SDelete จะช่วยลบไฟล์อย่างปลอดภัยด้วยการเขียนทับข้อมูล
- ระบบไฟล์และฮาร์ดแวร์: ในบางระบบ (เช่น SSD) อาจมีคำสั่ง TRIM ที่จะช่วยให้การลบไฟล์มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยจะทำการลบข้อมูลในระดับฮาร์ดแวร์ ซึ่งอาจลดโอกาสในการกู้คืนได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับการทำงานของตัวควบคุม SSD ด้วย
- สำหรับ SSD ระบบจะมีคำสั่ง TRIM ที่ช่วยจัดการพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้งาน แต่ก็มีข้อจำกัดในการทำงาน ทำให้การกู้ข้อมูลในบางกรณีอาจเป็นไปได้ยากกว่า HDD ดังนั้นควรใช้เครื่องมือหรือโปรแกรมที่รองรับการทำงานกับ SSD
สำหรับ SSD นั้น คำสั่ง TRIM มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ SSD ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยลบข้อมูลที่ไม่ได้ใช้งานออกจากพื้นที่จัดเก็บ ซึ่งต่างจากฮาร์ดดิสก์แบบ HDD ที่การลบไฟล์จะเป็นเพียงการทำเครื่องหมายว่าพื้นที่นั้นว่างอยู่
ขั้นตอน ในการตรวจสอบว่า TRIM เปิดใช้งานหรือไม่
-
เปิด Command Prompt ด้วยสิทธิ์ Administrator
- คลิกขวาที่ปุ่ม Start แล้วเลือก “Command Prompt (Admin)” หรือ “Windows PowerShell (Admin)”
-
พิมพ์คำสั่งตรวจสอบ TRIM:
- พิมพ์คำสั่งต่อไปนี้แล้วกด Enter:
-
ตรวจสอบผลลัพธ์:
- หากผลลัพธ์แสดงว่า
DisableDeleteNotify = 0
หมายความว่า TRIM ได้เปิดใช้งานแล้ว - หากผลลัพธ์แสดงว่า
DisableDeleteNotify = 1
หมายความว่า TRIM ถูกปิดใช้งาน
- หากผลลัพธ์แสดงว่า
การลบข้อมูลหรือการทำความสะอาด SSD ควรใช้ซอฟต์แวร์ที่ถูกออกแบบมาสำหรับ SSD โดยเฉพาะ เช่น Samsung Magician หรือ Intel SSD Toolbox ซึ่งสามารถส่งคำสั่ง Secure Erase ให้กับ SSD ได้ตรงตามความต้องการและเหมาะสมกับวิธีการจัดการข้อมูลของ SSD เนื่องจากการทำงานของ SSD มีลักษณะเฉพาะและการใช้งานคำสั่ง TRIM ควรเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการซอฟต์แวร์นั้น เพื่อให้แน่ใจว่าการลบข้อมูลและการจัดการพื้นที่ทำได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
การตรวจสอบ TRIM และการใช้ซอฟต์แวร์ที่เหมาะสมช่วยให้ SSD ของคุณมีอายุการใช้งานที่ยาวนานและข้อมูลถูกจัดการอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
-
3.3 การเข้ารหัสข้อมูล
- การเข้ารหัส: หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันข้อมูลจากการกู้คืนคือการเข้ารหัสข้อมูลทั้งหมดบนฮาร์ดดิสก์ (Full Disk Encryption) ด้วยเครื่องมืออย่าง BitLocker ของ Windows หรือโปรแกรมเข้ารหัสอื่น ๆ
- ผลลัพธ์: แม้ข้อมูลจะถูกกู้คืนในกรณีที่มีการลบไฟล์ แต่ถ้าไฟล์นั้นถูกเข้ารหัสอย่างถูกต้อง ผู้กู้คืนจะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่มีการเข้ารหัสได้
การ Format กับการ Secure Delete
เกี่ยวกับเรื่องการ Format ที่หลายคนมองว่าเป็นการลบข้อมูลอย่างหนึ่งและน่าจะเป็นวิธีที่ช่วยให้ลบข้อมูลอย่างปลอดภัยหรือถาวรได้แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย การ Format ฮาร์ดดิสก์หรือพาร์ทิชันใน Windows (ไม่ว่าจะเป็น Quick Format หรือ Full Format) นั้น แม้จะลบข้อมูลออกจากตารางไฟล์ แต่ข้อมูลจริง ๆ ยังคงอยู่ในพื้นที่ว่าง และสามารถกู้คืนได้ด้วยโปรแกรมกู้ข้อมูล ซึ่งแตกต่างจากวิธีการเขียนทับข้อมูลเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลจะไม่สามารถกู้คืนได้แบบ Secure Delete
-
การ Format
- สิ่งที่เกิดขึ้น:เมื่อคุณ Format ฮาร์ดดิสก์หรือพาร์ทิชัน ระบบจะลบการอ้างอิงของไฟล์ (เช่นตารางไฟล์) ทำให้ไฟล์เหล่านั้นหายไปจากการแสดงผล แต่ข้อมูลจริงๆ ยังอยู่ในพื้นที่ว่างของดิสก์
- ข้อจำกัด:ผู้กู้คืนข้อมูลสามารถใช้โปรแกรมสแกนเพื่อดึงข้อมูลที่เหลืออยู่ในพื้นที่ว่างได้ ดังนั้นการ Format จึงไม่ถือว่าเป็นการลบข้อมูลอย่างปลอดภัย
-
การ Secure Delete (การเขียนทับข้อมูล)
- สิ่งที่เกิดขึ้น:การ Secure Delete จะทำการเขียนทับข้อมูลเดิมด้วยข้อมูลใหม่หลายรอบ ทำให้ข้อมูลเก่าไม่สามารถถูกกู้คืนได้
- ความปลอดภัย:วิธีนี้เป็นที่ยอมรับในวงการความปลอดภัยข้อมูลว่าเป็นการลบข้อมูลอย่างถาวรและมีความแน่นอนมากกว่า
Leave a Reply