งาน LlamaCon อัปเดตใหญ่ของโมเดล AI จัดโดย Meta
Meta เปิดฉากจัดงาน LlamaCon เป็นครั้งแรกในวันนี้ (29 เมษายน 2025) ซึ่งเป็นงานประชุมนักพัฒนา AI โดยเน้นที่ตระกูลโมเดล Llama ซึ่งเป็นโมเดล AI แบบโอเพ่นซอร์สของบริษัท พร้อมไฮไลต์สำคัญอย่างการกล่าวสุนทรพจน์จากผู้บริหาร Meta และการพูดคุยพิเศษกับซีอีโอบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก

LlamaCon อ่านว่า ลามา-คอน แยกออกเป็นสองส่วน
- Llama (ลามา) — ชื่อโมเดล AI ของ Meta ซึ่งตั้งชื่อตามสัตว์ “ลามะ”
- Con (คอน) — ย่อมาจาก Conference หมายถึงงานประชุม
งานจัดขึ้นที่สำนักงานใหญ่ของ Meta ในเมือง Menlo Park รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยมีนักพัฒนาและสื่อมวลชนจำนวนจำกัดเข้าร่วมในสถานที่จริง และเปิดให้รับชมผ่านไลฟ์สตรีมทางเพจ Facebook: Meta for Developers และ YouTube ช่อง Meta Developers
LlamaCon เริ่มต้นเวลา 10:15 น. ตามเวลาแปซิฟิก (เท่ากับ 00:15 น. ของวันที่ 30 เม.ย. ตามเวลาไทย) ด้วยสุนทรพจน์จาก Chris Cox ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Meta, Manohar Paluri รองประธานฝ่าย AI และ Angela Fan นักวิจัยด้าน AI เชิงสร้างสรรค์ของ Meta
ต่อมาในเวลา 10:45 น. Mark Zuckerberg ซีอีโอของ Meta จะร่วมพูดคุยแบบ fireside chat กับ Ali Ghodsi ซีอีโอของ Databricks เพื่อถกประเด็นเรื่อง AI แบบโอเพ่นซอร์สและการพัฒนาแอปพลิเคชันด้วย AI ทั้งนี้ Meta ได้ประกาศเมื่อเดือนมกราคมว่าได้เข้าร่วมเป็นนักลงทุนเชิงกลยุทธ์ใน Databricks ซึ่งเน้นเทคโนโลยีด้านข้อมูลและ AI
ช่วงเย็นเวลา 16:00 น. PT (06:00 น. วันที่ 30 เม.ย. ตามเวลาไทย) Zuckerberg จะขึ้นเวทีอีกครั้งร่วมพูดคุยกับ Satya Nadella ซีอีโอของ Microsoft โดยจะเจาะลึกแนวโน้มล่าสุดของวงการ AI และให้คำแนะนำแก่นักพัฒนาที่ต้องการก้าวให้ทันการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในยุคนี้
Meta ต้องการใช้เวที LlamaCon เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นจากกลุ่มนักพัฒนา หลังจากเปิดตัวโมเดล Llama 4 ไปก่อนหน้านี้ซึ่งได้รับเสียงตอบรับแบบก้ำกึ่ง เนื่องจากไม่สามารถขึ้นเป็นผู้นำบนหลายตัวชี้วัดเมื่อเทียบกับโมเดลจาก DeepSeek, OpenAI, Anthropic และ Google
นอกจากนี้ Meta ยังถูกกล่าวหาว่าทำคะแนนบนเวที AI benchmark LM Arena ด้วยวิธีไม่โปร่งใส โดยใช้เวอร์ชันปรับแต่งพิเศษของโมเดล Llama 4 “Maverick” เพื่อให้ได้คะแนนสูง แต่กลับปล่อยเวอร์ชันที่แตกต่างออกมาให้ใช้งานสาธารณะ
สำหรับ Meta แล้ว LlamaCon ถือเป็นโอกาสสำคัญในการกู้ภาพลักษณ์และดึงดูดนักพัฒนาให้กลับมาเชื่อมั่นในแนวทางโอเพ่นซอร์สของบริษัทอีกครั้ง
ที่มา – Meta
Leave a Reply