ทำความรํู้จักกับ PPPoE และ DHCP ที่ต้องตั้งค่า Router ก่อนใช้งาน Internet
ในการติดตั้งเร้าเตอร์ใหม่หรือเปลี่ยนจากอุปกรณ์ของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) มาใช้เร้าเตอร์ส่วนตัว ผู้ใช้งานหลายคนอาจพบกับคำถามว่า “รหัส PPPoE คืออะไร” และจำเป็นต้องใช้หรือไม่ บทความนี้จะอธิบายความหมายของรหัส PPPoE พร้อมเปรียบเทียบกับระบบ DHCP ซึ่งเป็นอีกแนวทางที่ใช้กันแพร่หลายในการเชื่อมต่อเครือข่าย
PPPoE คืออะไร?
PPPoE (Point-to-Point Protocol over Ethernet) คือวิธีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่ต้องมีการยืนยันตัวตนด้วย “ชื่อผู้ใช้” (Username) และ “รหัสผ่าน” (Password) ก่อนจึงจะใช้งานได้ ซึ่งผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตจะออกข้อมูลชุดนี้ให้กับลูกค้าเฉพาะราย โดยมากมักใช้ในกรณีที่ลูกค้านำเร้าเตอร์มาใช้งานเองหรือเปลี่ยนอุปกรณ์ที่ไม่ใช่ของผู้ให้บริการ
รหัส PPPoE ได้มาอย่างไร?
รหัส PPPoE จะได้จากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) โดยเฉพาะเมื่อคุณ:
- ขอเปลี่ยนอุปกรณ์เป็นของตนเอง (เช่น ซื้อเร้าเตอร์ใหม่มาแทนของเดิม)
- รีเซ็ตเร้าเตอร์หรืออัปเกรดเฟิร์มแวร์
- เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตครั้งแรกหลังติดตั้งระบบ
ลูกค้าสามารถติดต่อขอ Username และ Password สำหรับ PPPoE ได้โดยตรงจากฝ่ายบริการลูกค้าของผู้ให้บริการ เช่น 3BB, TOT, หรือ NT ซึ่งแต่ละค่ายอาจใช้ชื่อเรียกแตกต่างกัน เช่น “บัญชีเชื่อมต่อ” หรือ “รหัสเชื่อมต่อเครือข่าย”
DHCP คืออะไร และต่างจาก PPPoE อย่างไร?
DHCP (Dynamic Host Configuration Protocol) คือระบบที่ให้ IP Address และข้อมูลเครือข่ายโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องใส่ชื่อผู้ใช้หรือรหัสผ่านใด ๆ เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปที่ใช้เร้าเตอร์ที่ผู้ให้บริการตั้งค่ามาแล้ว (เช่น ONU หรือ Fiber Router จากผู้ให้บริการ)
เมื่อใช้ DHCP อุปกรณ์จะขอ IP จากระบบของ ISP ทันทีหลังเชื่อมต่อ ทำให้ไม่ต้องกรอกข้อมูลใด ๆ เพิ่มเติม และใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ทันที
สรุปความแตกต่างและความสัมพันธ์
- หากใช้อุปกรณ์ของผู้ให้บริการ → มักใช้ DHCP และไม่ต้องสนใจเรื่อง PPPoE
- หากเปลี่ยนอุปกรณ์เอง → มักต้องใช้ PPPoE และขอรหัสจากผู้ให้บริการก่อน
- ทั้งสองระบบมีเป้าหมายเดียวกันคือเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต แต่ต่างกันที่วิธีการยืนยันตัวตน
ข้อควรจำ
- อย่าใช้รหัส PPPoE ร่วมกับผู้อื่น เพราะผู้ให้บริการอาจจำกัดการเชื่อมต่อ
- หากลืมหรือไม่รู้รหัส สามารถติดต่อ ISP ได้โดยใช้เลขบัญชีลูกค้าหรือหมายเลขโทรศัพท์ที่ติดตั้ง
สรุป
รหัส PPPoE คือกุญแจสำคัญสำหรับการยืนยันตัวตนเพื่อใช้งานอินเทอร์เน็ตเมื่อคุณนำอุปกรณ์ของตนเองมาใช้งาน ส่วน DHCP เป็นระบบที่สะดวกกว่าเพราะไม่ต้องยืนยันตัวตนและมักใช้กับอุปกรณ์ที่ได้รับจากผู้ให้บริการ หากคุณต้องการควบคุมอุปกรณ์เครือข่ายเอง ควรทำความเข้าใจทั้งสองระบบเพื่อเลือกใช้อย่างเหมาะสม
Leave a Reply