สาเหตุหลักและวิธีตรวจเช็กเสียงเรียกเข้าบน iPhone แบบลงมือทำได้ทันที
หากเสียงเรียกเข้าของ iPhone เบาเองหรือเงียบหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ ปัญหามักเกิดจากการตั้งค่าหรือฟีเจอร์อัตโนมัติของ iOS มากกว่าเครื่องเสีย การรู้จุดที่มีผลต่อเสียงจะช่วยให้แก้ได้ตรงจุด
1. โหมดเงียบหรือปุ่ม Ring/Silent Switch

สวิตช์เล็กด้านซ้ายเหนือปุ่มเสียง หากเห็นแถบสีส้มหมายถึงโหมดเงียบ เสียงเรียกเข้าจะไม่ดัง เคสที่หนาหรือแม่เหล็กอาจไปดันสวิตช์โดยไม่ตั้งใจ
- สลับกลับไปที่โหมดเสียง โดยเลื่อนสวิตช์ให้ไม่เห็นแถบสีส้ม จากนั้นทดสอบโทรเข้าอีกครั้ง
2. โหมด Focus หรือ Do Not Disturb

เมื่อเปิด Focus เช่น Do Not Disturb หรือ Sleep ระบบจะปิดเสียงเรียกเข้าและการแจ้งเตือน
- สไลด์ลง Control Center (ศูนย์ควบคุม) > แตะไอคอนพระจันทร์เพื่อปิด
- ให้ตรวจสอบว่ามีการตั้งค่าให้เปิดอัตโนมัติหรือไม่: Settings (การตั้งค่า) > Focus (โฟกัส) > เลือกโหมดทุกโหดที่สร้างขึ้นมาและตรวจสอบว่ามีการตั้งเวลาการเปิดอัตโนมัติไว้หรือเปล่าหากมีและไม่ต้องการให้เอาออก
3. ระดับเสียงเรียกเข้าและเสียงที่เลือก
แถบ Ringer and Alerts ต่ำเกินไปหรือเลือกเสียงที่โทนอ่อน อาจทำให้เหมือนเครื่องเงียบ หรือไฟล์เสียงถูกลบ
- ปรับระดับเสียงเรียกเข้า เส้นทาง: Settings (การตั้งค่า) > Sounds & Haptics (เสียงและการสั่น) > เลื่อนแถบ Ringer and Alerts ให้อยู่ระดับกลางขึ้นไป
- เสียงเรียกเข้าถูกเปลี่ยนหรือถูกลบออก เปลี่ยนเสียงเรียกเข้าเพื่อทดสอบ เส้นทาง: Settings (การตั้งค่า) > Sounds & Haptics (เสียงและการสั่น) > Ringtone (เสียงเรียกเข้า) > เลือกเสียงอื่นแล้วลองโทรเข้า
4. การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ Bluetooth
หากต่อหูฟังหรือลำโพง Bluetooth หรือ CarPlay เสียงเรียกเข้าอาจออกที่อุปกรณ์นั้นแทนลำโพงเครื่อง
- ตัดการเชื่อมต่อชั่วคราว เส้นทาง: Control Center (ศูนย์ควบคุม) > แตะไอคอน Bluetooth เพื่อปิดชั่วคราว แล้วทดสอบเสียงเรียกเข้าอีกครั้ง
- หรือไปที่ Settings (การตั้งค่า) > Bluetooth > แตะ i ของอุปกรณ์ที่เชื่อมอยู่ > Disconnect หรือ Forget This Device เพื่อทดสอบ
5. ระบบลดเสียงอัตโนมัติเมื่อผู้ใช้มองหน้าจอ
ใน iPhone ที่มี Face ID ฟีเจอร์ Attention Aware Features จะลดเสียงเรียกเข้าอัตโนมัติเมื่อกล้องตรวจว่าคุณกำลังมองหน้าจอ เพื่อไม่ให้รบกวน แต่ทำให้รู้สึกว่าเสียงเบา

- ปิดฟีเจอร์นี้ได้ทันที เส้นทาง: Settings (การตั้งค่า) > Face ID & Attention (Face ID และการรับรู้ความสนใจ) > ปิด Attention Aware Features (คุณสมบัติการตั้งใจมอง)
ระบบนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำให้ iPhone ลดเสียงโดยตรงแต่เป็นอีกจุดที่ทำให้ iPhone ลดเสียงเองได้
6. ซอฟต์แวร์หรือระบบเสียงค้าง
บั๊กชั่วคราวอาจทำให้เสียงไม่ออก การรีสตาร์ตและอัปเดตช่วยแก้ได้
- ปิดเปิดเครื่องใหม่ กดปุ่มเพิ่มเสียงหนึ่งครั้ง ตามด้วยลดเสียงหนึ่งครั้ง จากนั้นกดปุ่มด้านข้างค้างจนเห็นสไลด์ปิด แล้วเปิดเครื่องอีกครั้งบนรุ่นที่ไม่มีปุ่มโฮม หรือใช้วิธีปกติบนรุ่นที่มีปุ่มโฮม
- อัปเดต iOS เส้นทาง: Settings (การตั้งค่า) > General (ทั่วไป) > Software Update (อัปเดตซอฟต์แวร์) > Download and Install หากมี
7. ฮาร์ดแวร์ลำโพงมีปัญหา
ถ้าเปิดเพลงหรือวิดีโอแล้วยังเบาหรือไม่มีเสียง แต่ต่อหูฟัง Bluetooth แล้วได้ยิน แปลว่าลำโพงเครื่องอาจเสีย
- นัดตรวจที่ศูนย์บริการ Apple หรือ AASP เพื่อทดสอบฮาร์ดแวร์อย่างเป็นทางการ
แนวทางตรวจสอบแบบเร็วและมีเส้นทางเมนูในบรรทัดเดียว
- เช็กโหมดเงียบ เลื่อนสวิตช์ Ring/Silent ทางซ้ายเครื่องให้ไม่เห็นแถบสีส้ม แล้วโทรเข้าทดสอบ
- ปิด Focus หรือ Do Not Disturb เส้นทาง: Settings (การตั้งค่า) > Focus (โฟกัส) > ปิดโหมดที่ทำงาน หรือ Control Center (ศูนย์ควบคุม) > แตะไอคอนพระจันทร์
- ปรับระดับเสียงเรียกเข้า เส้นทาง: Settings (การตั้งค่า) > Sounds & Haptics (เสียงและการสั่น) > เลื่อน Ringer and Alerts
- ตัด Bluetooth ชั่วคราว เส้นทาง: Control Center (ศูนย์ควบคุม) > ปิด Bluetooth หรือ Settings (การตั้งค่า) > Bluetooth > Disconnect อุปกรณ์ที่เชื่อม
- เปลี่ยนเสียงเรียกเข้าเพื่อทดสอบ เส้นทาง: Settings (การตั้งค่า) > Sounds & Haptics (เสียงและการสั่น) > Ringtone (เสียงเรียกเข้า) > เลือกเสียงอื่น
- ปิด Attention Aware Features เส้นทาง: Settings (การตั้งค่า) > Face ID & Attention (Face ID และการรับรู้ความสนใจ) > ปิด Attention Aware Features
- รีสตาร์ตและอัปเดต iOS เส้นทาง: Settings (การตั้งค่า) > General (ทั่วไป) > Software Update (อัปเดตซอฟต์แวร์)
หากทำครบแล้วยังไม่มีเสียงเรียกเข้า ควรให้ศูนย์บริการ Apple ตรวจเช็กฮาร์ดแวร์ เพื่อป้องกันความเสียหายและวิเคราะห์สาเหตุได้แม่นยำ
Leave a Reply