รวมวิธีปรับการตั้งค่าและฟีเจอร์สำคัญ เพื่อยืดอายุแบตเตอรี่ให้ได้นานที่สุดใน iOS 26
สำหรับผู้ที่ต้องการประหยัดแบตเตอรี่ iPhone บน iOS 26 แบบเห็นผลทันที มีการตั้งค่าและฟีเจอร์เด่น ๆ ที่ควรปิดหรือปรับลดการทำงาน โดยเน้นไปที่การลดการใช้พลังงานของหน้าจอ การทำงานเบื้องหลัง และฟังก์ชันที่ใช้ GPS เป็นหลัก

ฟีเจอร์เด่นที่ควร “เปิดใช้งาน” (ตัวช่วยหลักบน iOS 26)
- โหมดประหยัดพลังงาน (Low Power Mode):
สิ่งที่ต้องทำ: เปิดใช้งานโหมดนี้เพื่อลดหรือปิดการทำงานบางอย่างทันที เช่น การดึงข้อมูลอีเมล การทำงานเบื้องหลัง เอฟเฟ็กต์ภาพบางส่วน และจำกัดอัตรารีเฟรชของหน้าจอ (บนรุ่น ProMotion)
วิธี: ไปที่ Settings (การตั้งค่า) > Battery (แบตเตอรี่) > Low Power Mode (โหมดประหยัดพลังงาน) หรือเปิดจาก Control Center (ศูนย์ควบคุม) - โหมดพลังงานแบบปรับได้ (Adaptive Power Mode):
(มีเฉพาะใน iPhone รุ่นใหม่ที่ใช้ชิป A17 หรือใหม่กว่า)
สิ่งที่ต้องทำ: เปิดใช้งานหากมี ฟีเจอร์นี้จะใช้ AI เรียนรู้รูปแบบการใช้งานของคุณ แล้วปรับประสิทธิภาพเครื่องอัตโนมัติเพื่อยืดอายุแบตเตอรี่
วิธี: ไปที่ Settings (การตั้งค่า) > Battery (แบตเตอรี่) > Power Mode (โหมดพลังงาน) แล้วเปิด Adaptive Power (ปรับพลังงานอัตโนมัติ)

สิ่งที่ควร “ปิด/จำกัด” เพื่อประหยัดแบตฯ สุด ๆ
1. การใช้พลังงานของหน้าจอ (Screen)
- ความสว่างหน้าจอ: ลดให้อยู่ระดับที่สบายตา หรือเปิด Auto-Brightness (ปรับความสว่างอัตโนมัติ)
วิธี: Settings (การตั้งค่า) > Display & Brightness (จอภาพและความสว่าง) > เปิด Auto-Brightness (ปรับความสว่างอัตโนมัติ) - โหมดมืด (Dark Mode): เปิดใช้งาน โดยเฉพาะรุ่นที่ใช้จอ OLED เพื่อให้พื้นหลังสีดำช่วยลดพลังงาน
วิธี: Settings (การตั้งค่า) > Display & Brightness (จอภาพและความสว่าง) > Appearance (รูปลักษณ์) > เลือก Dark (มืด) - Always-On Display: ปิด (เฉพาะรุ่น Pro/Pro Max) ถึงแม้จะกินแบตน้อย แต่การปิดช่วยเพิ่มระยะเวลาการใช้งานได้อีก
วิธี: Settings (การตั้งค่า) > Display & Brightness (จอภาพและความสว่าง) > ปิด Always-On Display - ล็อกอัตโนมัติ (Auto-Lock): ตั้งค่าเป็น 30 วินาที เพื่อให้หน้าจอดับเร็วขึ้น
วิธี: Settings (การตั้งค่า) > Display & Brightness (จอภาพและความสว่าง) > Auto-Lock (ล็อกอัตโนมัติ) > 30 Seconds (30 วินาที) - Raise to Wake (หยิบขึ้นมาตื่น): ปิด เพื่อไม่ให้หน้าจอติดขึ้นทุกครั้งที่หยิบมือถือขึ้นมา
วิธี: Settings (การตั้งค่า) > Display & Brightness (จอภาพและความสว่าง) > ปิด Raise to Wake (หยิบขึ้นมาตื่น)
2. การทำงานเบื้องหลังและการเชื่อมต่อ (Background & Connectivity)
- Background App Refresh: ปิดทั้งหมด หรือเลือกปิดเฉพาะแอปที่ไม่จำเป็น
วิธี: Settings > General (ทั่วไป) > Background App Refresh (รีเฟรชแอปพื้นหลัง) - Location Services (บริการระบุตำแหน่ง): ตั้งให้เป็น “While Using the App” (ขณะใช้แอป) หรือปิดถ้าไม่จำเป็น
วิธี: Settings > Privacy & Security > Location Services (บริการระบุตำแหน่ง) - Automatic Downloads (ดาวน์โหลดอัตโนมัติ): ปิดการอัปเดตแอปอัตโนมัติในพื้นหลัง
วิธี: Settings > App Store > ปิด Automatic Downloads - Wi-Fi และ Bluetooth: ปิดเมื่อไม่ใช้งาน เพื่อไม่ให้ระบบค้นหาสัญญาณอยู่ตลอดเวลา
วิธี: Settings (การตั้งค่า) > Wi-Fi > ปิดสวิตช์ Wi-Fi และ Settings (การตั้งค่า) > Bluetooth > ปิดสวิตช์ Bluetooth
3. ฟีเจอร์อื่น ๆ ที่ใช้พลังงาน (Other Features)
- Siri / “Hey Siri”: ปิดการฟังตลอดเวลา ถ้าไม่ได้ใช้บ่อย
วิธี: Settings > Siri & Search (Siri และการค้นหา) > ปิด “Listen for Hey Siri” - Notifications (การแจ้งเตือน): ปิดการแจ้งเตือนสำหรับแอปที่ไม่จำเป็น
วิธี: Settings > Notifications (การแจ้งเตือน) - Widgets (วิดเจ็ต): ลดจำนวนวิดเจ็ตที่ใช้บนหน้าจอโฮม เพราะวิดเจ็ตอัปเดตข้อมูลตลอดเวลา
คำแนะนำเพิ่มเติมหลังอัปเดต iOS 26
อัปเดตแล้วแบตฯ ไหลในช่วงแรกเป็นเรื่องปกติ: หลังอัปเดต iOS ใหม่ ระบบจะทำงานเบื้องหลัง เช่น จัดทำดัชนี (Indexing) และปรับ Machine Learning ซึ่งกินพลังงานมากขึ้นในช่วง 2-3 วันแรก
ควรรีสตาร์ตเครื่อง 1-2 ครั้ง หลังอัปเดต เพื่อให้ระบบจัดการพลังงานได้เสถียรขึ้น
ใช้เวอร์ชันล่าสุดเสมอ: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณอัปเดตเป็น iOS 26.1 หรือใหม่กว่า เพราะ Apple มักปรับปรุงการจัดการพลังงานในอัปเดตย่อย
สรุปสิ่งที่ปิดแล้วเห็นผลมากที่สุด
- เปิด Low Power Mode (โหมดประหยัดพลังงาน)
- ลดความสว่างหน้าจอ และเปิด Auto-Brightness
- ปิด Background App Refresh ทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด
- จำกัด Location Services เฉพาะตอนใช้งาน
- ปิด Raise to Wake
Leave a Reply