Oracle เผยรายได้คลาวด์แตะ 8 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่กำไรต่อหุ้นเติบโตโดดเด่นและ RPO พุ่งกว่า 438% สะท้อนดีมานด์ระยะยาวของบริการคลาวด์และ AI
Oracle ประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ 2026 โดยรายงานว่าบริษัทมีรายได้รวม 16.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับปีก่อน และเพิ่มขึ้น 13% เมื่อปรับตามค่าเงินคงที่ การเติบโตส่วนใหญ่มาจากบริการคลาวด์ซึ่งยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง
รายได้จากธุรกิจคลาวด์ (IaaS + SaaS) อยู่ที่ 8.0 พันล้านดอลลาร์ เติบโต 34% ขณะที่ IaaS เพียงอย่างเดียวทำรายได้ 4.1 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นถึง 68% ด้าน SaaS ทำรายได้ 3.9 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 11% ส่วนธุรกิจ ERP ของบริษัทเติบโตต่อเนื่อง ทั้ง Fusion Cloud ERP ที่ 1.1 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 18% และ NetSuite ERP ที่ 1.0 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 13%
รายได้จากซอฟต์แวร์แบบดั้งเดิมกลับลดลง โดยทำได้ 5.9 พันล้านดอลลาร์ ลดลง 3% ซึ่งสะท้อนการย้ายไปใช้โซลูชันคลาวด์ของลูกค้าในระยะยาว
กำไรสุทธิแบบ GAAP อยู่ที่ 6.1 พันล้านดอลลาร์ ส่วนกำไรสุทธิแบบ Non-GAAP อยู่ที่ 6.6 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 57% ขณะที่กำไรต่อหุ้นแบบ GAAP อยู่ที่ 2.10 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 91% และแบบ Non-GAAP อยู่ที่ 2.26 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 54%
Remaining Performance Obligations (RPO) ซึ่งสะท้อนรายได้ที่ผูกมัดในอนาคตเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นถึง 523 พันล้านดอลลาร์ เติบโต 438% เมื่อเทียบกับปีก่อน แสดงถึงความต้องการใช้งานบริการคลาวด์และ AI ขององค์กรขนาดใหญ่ในระดับสูงมาก
กระแสเงินสดจากการดำเนินงานในรอบ 12 เดือนล่าสุดอยู่ที่ 22.3 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 10% และยอด Deferred Revenue อยู่ที่ 9.9 พันล้านดอลลาร์
ฝ่ายบริหารของ Oracle ระบุว่าการเติบโตมาจากการขยายศูนย์ข้อมูลทั่วโลก ความต้องการด้าน AI และกลยุทธ์ chip neutrality ซึ่งบริษัทเลือกที่จะไม่ออกแบบชิปเอง แต่รองรับชิปจากผู้ผลิตหลายรายเพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าที่หลากหลาย
บริษัทยังประกาศจ่ายเงินปันผลรายไตรมาสที่ 0.50 ดอลลาร์ต่อหุ้น โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นวันที่ 9 มกราคม 2026 และจ่ายจริงในวันที่ 23 มกราคม 2026
แม้ว่าบริษัทจะรายงานผลกำไรเติบโตและมีกำไรต่อหุ้นออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ แต่รายได้รวมกลับต่ำกว่าที่นักลงทุนคาดการณ์ไว้ ขณะเดียวกัน Oracle ยังเปิดเผยว่าจะต้องเพิ่มการลงทุนด้านศูนย์ข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานสำหรับงาน AI ในระดับสูงกว่าที่ประเมินกันไว้ ซึ่งทำให้เกิดความกังวลต่อกระแสเงินสดและแนวโน้มความสามารถในการทำกำไรในช่วงต่อไป ส่งผลให้นักลงทุนตอบสนองด้วยแรงขายอย่างรุนแรงในการซื้อขายนอกเวลาปกติ และราคาหุ้น Oracle ร่วงลงมากกว่า 11% ก่อนตลาดเปิด แม้ว่าผลกำไรจะออกมาดีก็ตาม
ที่มา: Oracle
Leave a Reply