Intel เปิดตัวซีรีส์ CPU ใหม่ Intel Core Ultra 200S Series เพิ่มประสิทธิภาพ รองรับเทคโนโลยี AI ประหยัดพลังงาน
Intel ได้ทำการเปิดตัวซีรีส์ CPU ใหม่ที่เรียกว่า Intel Core Ultra 200S Series ซึ่งมาพร้อมกับนวัตกรรมใหม่ๆ ในด้านประสิทธิภาพและการใช้พลังงาน โดย CPU ซีรีส์นี้ถูกออกแบบมาให้รองรับการใช้งานที่หลากหลาย ทั้งการทำงานทั่วไป, งานที่ต้องการการประมวลผลสูง, และการเล่นเกมความละเอียดสูง (High-Performance Gaming) ในบทความนี้เราจะมาเจาะลึกถึงรุ่นต่างๆ ในซีรีส์ Intel Core Ultra 200S รวมถึงคุณสมบัติที่โดดเด่น และเทคโนโลยีที่ได้รับการปรับปรุงจากรุ่นก่อน

ซีรีส์ Intel Core Ultra 200S ได้รับการออกแบบมาให้รองรับการประมวลผลที่ซับซ้อนขึ้น ด้วยเทคโนโลยีคอร์ประสิทธิภาพสูง (Performance Cores – P Cores) และคอร์ประหยัดพลังงาน (Efficiency Cores – E Cores) ที่ช่วยให้การประมวลผลทำได้รวดเร็วขึ้น และสามารถประหยัดพลังงานได้มากขึ้นอีกด้วย
สเปค Intel Core Ultra 200S

- Intel Core Ultra 9 285K: 24 cores (8 P-Core + 16 E-Core), 24 threads, 4 GPU cores, 13 TOPS NPU, max 5.7 GHz.
- Intel Core Ultra 7 265K: 20 cores (8 P-Core + 12 E-Core), 20 threads, 4 GPU cores, 13 TOPS NPU, max 5.5 GHz.
- Intel Core Ultra 7 265KF: 20 cores (8 P-Core + 12 E-Core), 20 threads, no GPU, 13 TOPS NPU, max 5.5 GHz.
- Intel Core Ultra 5 245K: 14 cores (6 P-Core + 8 E-Core), 14 threads, 4 GPU cores, 13 TOPS NPU, max 5.2 GHz.
- Intel Core Ultra 5 245KF: 14 cores (6 P-Core + 8 E-Core), 14 threads, no GPU, 13 TOPS NPU, max 5.2 GHz.
การเปลี่ยนชื่อเป็น Core Ultra
Core Ultra 200S นับเป็นรุ่นแรกที่ใช้ชื่อแบรนด์ Core Ultra และการเปลี่ยนชื่อจากการใช้ “Gen” เป็น “Core Ultra” เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ Intel ประกาศอย่างเป็นทางการ ที่มีการเปลี่ยนแปลงการตั้งชื่อซีรีส์ใหม่ของทั้งเดสก์ท็อปและโน้ตบุ๊กมาเป็น Intel Core Ultra เพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์การพัฒนาซีพียูรุ่นใหม่ที่เน้นเทคโนโลยี AI และการประหยัดพลังงาน ซึ่งรวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงในรุ่นถัดไปที่จะไม่ใช้ระบบ Gen แบบเดิมอีกต่อไป
ในซีรีส์ Intel Core Ultra 200S ทาง Intel ได้เปลี่ยนวิธีการตั้งชื่อรุ่นจากเดิมที่ใช้เลขลำดับแบบ Gen เช่น 13th Gen หรือ 14th Gen มาเป็นชื่อ Core Ultra แทน ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่จะเลิกใช้ระบบ Gen ที่เคยคุ้นเคยกันมานาน การเปลี่ยนมาใช้ชื่อรุ่นแบบ Core Ultra นี้หมายความว่า Intel จะไม่ใช้การแบ่งรุ่นตาม Generation อีกต่อไป และจากการเปิดตัวซีรีส์นี้ ตัวเลขรุ่นจะมีเพียง 3 ตัวเลข เช่น 200S แทนที่จะเป็นเลข Gen + รุ่นแบบที่เคยใช้ในอดีต หากมีการเปิดตัวซีรีส์รุ่นต่อไปหลังจาก Core Ultra 200S เราคาดว่าจะยังคงเห็นการใช้ชื่อแบบนี้ต่อไป เช่น Core Ultra 300S หรือ Core Ultra 400S ขึ้นอยู่กับรุ่นที่ Intel จะเลือกใช้
การยกเลิกใช้ Hyperthreading
Core Ultra ได้ยุติการใช้ Hyperthreading เทคโนโลยีที่ Intel ใช้มาตั้งแต่ปี 2002 ซึ่งทำให้แต่ละแกนประมวลผล (core) สามารถทำงานได้หลายเธร็ด (threads) พร้อมกัน เทคโนโลยีนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลโดยไม่ต้องเพิ่มจำนวนคอร์จริง แต่ใช้การจำลองเพื่อให้ระบบปฏิบัติการมองว่า 1 คอร์สามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้ ซึ่งเหมาะสำหรับงานมัลติทาสก์ (multitasking) หรือแอปพลิเคชันที่สามารถทำงานแบบหลายเธร็ดได้ดี
ในซีรีส์ Core Ultra 200S นี้ Intel ได้ตัดสินใจยุติการใช้ Hyperthreading ในแกน P-Core ของซีพียู ทำให้แต่ละคอร์ทำงานเพียง 1 เธร็ดเท่านั้น (ยกตัวอย่างเช่น Core Ultra 9 285K ที่มี 24 cores เราจะเห็นว่ามี 24 threads เท่ากัน) การเปลี่ยนแปลงนี้อาจเนื่องมาจากการพัฒนาและปรับปรุงสถาปัตยกรรมใหม่ที่ทำให้แต่ละคอร์สามารถประมวลผลได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพา Hyperthreading เพื่อลดความซับซ้อนของระบบ และอาจช่วยประหยัดพลังงานในบางสถานการณ์
หน่วยประมวลผล NPU
NPU หรือ Neural Processing Unit เป็นหน่วยประมวลผลที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับงานที่เกี่ยวกับ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) โดยเฉพาะ หน้าที่หลักของ NPU คือช่วยเร่งความเร็วในการประมวลผล AI ต่าง ๆ เช่น การจดจำภาพ การประมวลผลเสียง และการทำงานของ neural networks ในด้านต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยลดภาระการทำงานของ CPU และ GPU ในการประมวลผลงานที่เกี่ยวกับ AI โดยตรง ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของระบบโดยรวมสูงขึ้นและใช้พลังงานน้อยลง
ใน Core Ultra 200S การใช้ NPU (Neural Processing Unit) ถือเป็นครั้งแรกที่ Intel นำ NPU เข้ามาในซีรีส์ซีพียูสำหรับเดสก์ท็อป (ก่อนหน้านี้เคยใช้กับ Core 14th Gen สำหรับ Notebook) โดย NPU นี้มีความสามารถในการประมวลผลด้าน AI ได้สูงถึง 13 TOPS (Tera Operations Per Second)
P-Core และ E-Core
P-Core (Performance Core) และ E-Core (Efficiency Core) เป็นสถาปัตยกรรมที่ Intel เริ่มนำมาใช้ตั้งแต่รุ่น Alder Lake (12th Gen) ซึ่งเปิดตัวในปี 2021 โดยแนวคิดนี้เป็นการผสมผสานระหว่างแกนประสิทธิภาพสูง (P-Core) สำหรับงานที่ต้องการความเร็วและพลังงานเยอะ กับแกนประหยัดพลังงาน (E-Core) สำหรับงานที่เบาลงหรือเพื่อการทำงานแบบเบื้องหลัง สำหรับ Core Ultra 200S ก็ยังคงใช้สถาปัตยกรรมนี้ โดยมีการพัฒนาแกนประมวลผลให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น
- P-Core (Performance Core) เป็นแกนที่ออกแบบมาเพื่อการประมวลผลหนัก เช่น การทำงานที่ต้องการพลังในการคำนวณสูง ๆ อย่างการเล่นเกมที่มีกราฟิกหนักหรือการตัดต่อวิดีโอ ในรุ่น Core Ultra 200S นี้ P-Core ได้รับการอัปเกรดมาใช้สถาปัตยกรรมใหม่ที่เรียกว่า Lion Cove ซึ่งสามารถเพิ่มจำนวนคำสั่งต่อรอบ (IPC) ขึ้นได้ถึง 9% เมื่อเทียบกับสถาปัตยกรรมรุ่นก่อนหน้านี้อย่าง Raptor Cove ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของระบบสูงขึ้นมาก แม้จะยังคงใช้แกนแบบเดิม แต่มีการปรับปรุงการออกแบบเพื่อรองรับการประมวลผลในระดับที่ดียิ่งขึ้น
- E-Core (Efficiency Core) เป็นแกนประมวลผลที่เน้นเรื่องการประหยัดพลังงาน เหมาะสำหรับงานที่ไม่ต้องใช้พลังประมวลผลสูง เช่น การทำงานเบื้องหลังและการจัดการทรัพยากรระบบ ในซีรีส์นี้ E-Core ได้รับการปรับปรุงเป็นสถาปัตยกรรมใหม่ที่เรียกว่า Skymont ซึ่งมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยสามารถเพิ่มคำสั่งต่อรอบได้ถึง 32% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า Gracemont นี่หมายความว่า E-Core จะสามารถทำงานได้เร็วขึ้นและประหยัดพลังงานมากขึ้นในเวลาเดียวกัน
การรวมกันของ P-Core และ E-Core ในซีรีส์ Core Ultra 200S จึงเป็นการออกแบบที่ช่วยเพิ่มทั้งประสิทธิภาพในการทำงานหนักและความสามารถในการประหยัดพลังงานในงานทั่วไปได้อย่างลงตัว


การประมวลผลภาพ Xe GPU
Xe-LPG ที่ใช้ใน Intel Core Ultra 200S ยังคงเป็นสถาปัตยกรรมกราฟิกแบบเดียวกับที่เคยใช้ใน Meteor Lake (14th Gen) ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกออกแบบมาให้ใช้งานในโน้ตบุ๊กเท่านั้น ในซีรีส์นี้ Xe-LPG ถูกนำมาใช้กับซีพียูเดสก์ท็อปด้วยแล้ว

36 TOPS (Tera Operations Per Second)

Intel Core Ultra 200S Series ประมวลผล AI สามารถรองรับได้สูงสุดถึง 36 TOPS (Tera Operations Per Second) ซึ่งเป็นหน่วยที่ใช้วัดความสามารถในการประมวลผลของระบบ โดยแบ่งเป็นหลายส่วนที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผล AI ได้แก่
- GPU (Graphics Processing Unit): รองรับการประมวลผลสูงสุด 8 TOPS โดยใช้สถาปัตยกรรม Xe ที่รองรับคำสั่ง AI (DP4a) และเน้นการใช้สำหรับกราฟิกและการประมวลผล AI
- NPU (Neural Processing Unit): รองรับการประมวลผลสูงสุด 13 TOPS ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ Intel นำ NPU สำหรับผู้ใช้งานระดับ Enthusiasts มาใช้ เพื่อการประมวลผล AI ที่มีประสิทธิภาพสูง โดยเน้นการประมวลผลสำหรับแอปพลิเคชัน AI เช่น Agents, Media และ SLMs
- CPU (Central Processing Unit): รองรับการประมวลผล AI สูงสุด 15 TOPS โดยใช้สถาปัตยกรรม Skymont และ Lion Cove สำหรับประสิทธิภาพการประมวลผลของแกน P-Core และ E-Core ที่เพิ่มขึ้น พร้อมกับการสนับสนุนคำสั่ง AVX และ VNNI
ในขณะที่ dGPU อย่าง Intel Arc A770 ที่แสดงในภาพ เป็นการ์ดจอแยกมีประสิทธิภาพการประมวลผล AI ที่ 260 TOPS
เทคโนโลยี Foveros Advanced 3D packaging

Foveros Advanced 3D Packaging เป็นเทคโนโลยีที่ Intel ใช้ในการประกอบและเชื่อมต่อชิ้นส่วนต่างๆ ของซีพียูในรูปแบบ 3 มิติ โดยจุดเด่นของเทคโนโลยีนี้คือการจัดเรียงส่วนประกอบของชิ้นส่วนต่างๆ ในลักษณะซ้อนกันหลายชั้น เพื่อให้สามารถใช้พื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นี่คือรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยีนี้
- การประกอบในรูปแบบ 3 มิติ (3D Stacking): ชิ้นส่วนสำคัญ เช่น CPU, GPU, I/O, และ SoC จะถูกจัดเรียงในรูปแบบซ้อนกัน ทำให้มีพื้นที่ใช้สอยน้อยลง และเพิ่มความหนาแน่นในการเชื่อมต่อระหว่างชิ้นส่วน
- เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน: เนื่องจากชิ้นส่วนอยู่ใกล้กันในลักษณะ 3 มิติ ข้อมูลระหว่างชิ้นส่วนต่างๆ จึงสามารถส่งผ่านได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ลดการหน่วงและเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผล
- การระบายความร้อนที่ดีขึ้น: ด้วยการจัดวางชิ้นส่วนในแนวตั้งและการออกแบบที่ซับซ้อน เทคโนโลยี Foveros สามารถช่วยให้ชิ้นส่วนที่ปล่อยความร้อนสูงมีการระบายความร้อนได้ดีกว่า
- การปรับแต่งได้ยืดหยุ่น: การใช้ Foveros ทำให้ Intel สามารถปรับแต่งซีพียูได้ตามความต้องการของแต่ละรุ่น เช่น สามารถเพิ่มหรือลดจำนวนแกนประมวลผลหรือชิ้นส่วนอื่นๆ ได้อย่างยืดหยุ่น
เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ Intel สามารถรวมเทคโนโลยีใหม่ๆ ในพื้นที่ขนาดเล็กลง และทำให้สามารถผลิตซีพียูที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นพร้อมกับการประหยัดพลังงานมากขึ้น
ประสิทธิภาพและการประหยัดพลังงานสำหรับการเล่นเกม





จากภาพที่แสดงให้เห็น การเปรียบเทียบระหว่าง Core Ultra 9 285K และ Core i9-14900K พบว่าแม้ในสถานการณ์การเล่นเกม Core Ultra 9 285K จะสามารถรักษาระดับ FPS ได้ใกล้เคียงกับ Core i9-14900K แต่ใช้พลังงานน้อยลงถึง 80 วัตต์ (จาก 527W เหลือเพียง 447W) นอกจากนี้ยังให้ประสบการณ์การเล่นเกมที่มี FPS คงที่ใกล้เคียงกันที่ 261 FPS เทียบกับ 264 FPS ของรุ่นก่อนหน้านี้
จากข้อมูลเปรียบเทียบการใช้พลังงานในเกมยอดนิยมหลายเกมอย่างเช่น Assassin’s Creed Mirage, Call of Duty: Modern Warfare III และ Total War: PHARAOH พบว่า Core Ultra 9 285K ใช้พลังงานลดลงสูงสุดถึง 165W เมื่อเทียบกับรุ่น Raptor Lake-R โดยในแต่ละเกมนั้นพลังงานที่ลดลงมีความแตกต่างกัน ตั้งแต่ 34W ไปจนถึง 165W
อีกจุดเด่นหนึ่งของ Core Ultra 200S คือการระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งสามารถลดอุณหภูมิ CPU ได้เฉลี่ยถึง 13°C เมื่อเทียบกับรุ่น Raptor Lake-R ภายใต้การเล่นเกมแบบ 1080p โดยเฉพาะในเกม Tom Clancy’s Rainbow Six Siege อุณหภูมิของ CPU ลดลงได้ถึง 17°C แสดงให้เห็นถึงการออกแบบระบบระบายความร้อนที่ดียิ่งขึ้น ทำให้ระบบทำงานได้เย็นกว่าและลดเสียงรบกวนลง
Intel 800 Series Chipset

Intel 800 Series Chipset ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับซีพียู Intel Core Ultra 200S โดยใช้ Socket LGA1851 ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่เน้นเรื่องการเชื่อมต่อ I/O ที่หลากหลาย ทั้ง PCIe 5.0, USB 3.2, และ SATA 3.0 เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุดและการขยายระบบในอนาคต
- PCIe Lanes: รองรับการเชื่อมต่อ PCIe ทั้งหมด 48 เลน และในนั้นเป็น PCIe 5.0 ถึง 20 เลน ซึ่งช่วยให้สามารถรองรับอุปกรณ์ต่อพ่วงที่ต้องการความเร็วสูงได้ดี เช่น การ์ดจอหรืออุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล
- USB Ports: รองรับ USB 3.2 สูงสุดถึง 10 พอร์ต และมีทางเลือกความเร็วหลายแบบ (5G, 10G, 20G) นอกจากนี้ยังรองรับ USB 2.0 อีก 14 พอร์ต
- eSPI: มีการรองรับช่องเชื่อมต่อ eSPI ถึง 4 พอร์ต ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในระบบฝังตัว
- SATA: รองรับการเชื่อมต่อ SATA 3.0 ถึง 8 ช่อง ซึ่งเป็นอินเทอร์เฟซสำหรับการเชื่อมต่อฮาร์ดไดรฟ์หรืออุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลแบบดั้งเดิม
Max Memory

Intel Core Ultra 200S รองรับหน่วยความจำ DDR5-6400 ความจุสูงสุด 48GB ต่อ DIMM ได้สูงสุด 192GB นอกจากนี้ยังรองรับการใช้งานหน่วยความจำแบบ ECC และการใช้งานในรูปแบบ Dual Channel ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของหน่วยความจำอย่างเต็มที่
ราคา Core Ultra 200S Series

ราคา Intel Core Ultra 200S Series มีดังต่อไปนี้
- Intel Core Ultra 9 285K: ราคาเปิดตัว $589 USD (ในประเทศไทยเปิดให้ PreOrder ราคา 23,000 บาท)
- Intel Core Ultra 7 265K: ราคาเปิดตัว $394 USD (ในประเทศไทยเปิดให้ PreOrder ราคา 16,000 บาท)
- Intel Core Ultra 7 265KF: ราคาเปิดตัว $379 USD (ในประเทศไทยเปิดให้ PreOrder ราคา 15,400 บาท)
- Intel Core Ultra 5 245K: ราคาเปิดตัว $309 USD (ในประเทศไทยเปิดให้ PreOrder ราคา 12,200 บาท)
- Intel Core Ultra 5 245KF: ราคาเปิดตัว $294 USD (ในประเทศไทยเปิดให้ PreOrder ราคา 11,600 บาท)
กำหนดวันวางจำหน่าย Core Ultra 200S Series
Intel Core Ultra 200S Series มีกำหนดการวางจำหน่ายในวันที่ 24 ตุลาคม 2024 ตามข้อมูลที่ประกาศ
ที่มา – Intel , Intel Core Ultra Desktop Processors Launch Briefing
Leave a Reply