 
รู้หรือไม่เมนู Memory Integrity ใน Windows 10 หรือ Windows 11 คืออะไร
Memory Integrity หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Hypervisor-Protected Code Integrity (HVCI) คือฟีเจอร์ความปลอดภัยใน Windows (โดยเฉพาะ Windows 10 และ Windows 11) ซึ่งใช้ประโยชน์จาก Virtualization-Based Security (VBS) ในการตรวจสอบและปกป้องการทำงานของโค้ดหรือไดรเวอร์ภายในหน่วยความจำ (Memory) ให้มีความปลอดภัยและอยู่ในสภาวะที่ไม่ถูกแก้ไขแทรกแซงหรือถูกโจมตีได้ง่าย ฟีเจอร์นี้เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิด Core Isolation ซึ่งพัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มความปลอดภัยระดับ Kernel ของระบบปฏิบัติการ Windows

ความสำคัญของ Memory Integrity ใน Windows
- ป้องกันการแก้ไขโค้ดที่เป็นอันตราย (Malicious Code Injection)
 เมื่อมีโค้ดที่เป็นอันตรายหรือมัลแวร์พยายามแทรกตัวเข้ามาในระบบและแก้ไขส่วนของระบบปฏิบัติการหรือหน่วยความจำ Kernel ตัว Memory Integrity จะใช้เทคโนโลยี VBS และ Hypervisor เพื่อช่วยตรวจจับความผิดปกติและป้องกันไม่ให้โค้ดที่ไม่ปลอดภัยทำงานได้
- ยกระดับความปลอดภัยของ Kernel
 Kernel ถือเป็นหัวใจสำคัญของระบบปฏิบัติการ ถ้า Kernel ถูกแก้ไขได้โดยง่าย การโจมตีจะส่งผลกระทบต่อเครื่องในระดับรุนแรง เช่น การยกระดับสิทธิ (Privilege Escalation) หรือการซ่อนตัวของมัลแวร์อย่างแนบเนียน การเปิดใช้งาน Memory Integrity จะช่วยคัดกรองโค้ดที่ทำงานใน Kernel และป้องกันโค้ดที่ไม่ได้รับอนุญาต
- เทคโนโลยี Hypervisor ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมแยก
 Hypervisor ทำงานเสมือนเป็นชั้น (Layer) คั่นกลางระหว่างฮาร์ดแวร์กับระบบปฏิบัติการ ทำให้สามารถแยกกระบวนการที่สำคัญออกจากกันและดูแลให้แน่ใจว่าข้อมูลใน Kernel ถูกป้องกันจากการโจมตี โดยยังคงทำงานได้อย่างเสถียร
หลักการทำงานของ Memory Integrity (HVCI)
- Virtualization-Based Security (VBS)
 ก่อนอื่น ระบบต้องรองรับ Virtualization-Based Security ซึ่งต้องอาศัยฮาร์ดแวร์ที่รองรับการทำ Virtualization เช่น Intel VT-x หรือ AMD-V เมื่อตัว VBS เปิดใช้งาน ระบบจะสร้างส่วนของหน่วยความจำที่ทำงานอยู่ภายใต้การควบคุมของ Hypervisor เพื่อใช้สำหรับตรวจจับและปกป้องโค้ดที่ทำงานในระดับ Kernel
- Code Integrity Check
 ในทุกครั้งที่มีการโหลดไดรเวอร์หรือโค้ดระดับ Kernel เข้ามาทำงาน ระบบจะทำการตรวจสอบลายเซ็น (Signature) หรือหลักฐานที่ยืนยันความน่าเชื่อถือของโค้ดนั้น ๆ หากไม่ผ่านตามเกณฑ์ มันจะไม่อนุญาตให้โค้ดนั้นทำงาน หรือหยุดการทำงานในทันที
- Isolated Environment
 Hypervisor จะแยก (Isolate) กระบวนการที่สำคัญหรือข้อมูลที่เปราะบางจากระบบปฏิบัติการทั่วไป ทำให้มัลแวร์ยากที่จะเข้าถึงหรือแก้ไขข้อมูลในระดับ Kernel ได้
ข้อควรรู้และข้อจำกัด
- ความเข้ากันได้ของไดรเวอร์ (Driver Compatibility)
 มีโอกาสที่ไดรเวอร์บางตัวจะไม่สามารถทำงานได้เมื่อเปิดใช้งาน Memory Integrity เพราะไดรเวอร์เหล่านั้นอาจไม่มีการเซ็นลายเซ็น (Driver Signature) ที่ถูกต้องหรืออาจมีพฤติกรรมบางอย่างที่ขัดกับนโยบายความปลอดภัย การปิดหรือเปิด Memory Integrity จึงควรตรวจสอบความเข้ากันได้กับไดรเวอร์สำคัญของอุปกรณ์ต่าง ๆ ก่อน
- ข้อกำหนดของฮาร์ดแวร์
- ต้องเป็น Windows เวอร์ชัน 64-bit
- ซีพียูต้องรองรับเทคโนโลยี Virtualization (เช่น Intel VT-x หรือ AMD-V)
- เมนบอร์ดต้องรองรับการเปิดใช้งานการจำลอง Virtualization ใน BIOS/UEFI (เช่น Intel VT-d, AMD-Vi)
- TPM (Trusted Platform Module) เวอร์ชัน 2.0 (สำหรับ Windows 11) หรือแนวทางการปฏิบัติตามที่ Microsoft กำหนด
 
- ประสิทธิภาพของระบบ
 ในบางกรณี การเปิดใช้งาน Memory Integrity อาจทำให้ประสิทธิภาพของเครื่องลดลงเล็กน้อย โดยเฉพาะเครื่องรุ่นเก่าหรือเครื่องที่สเปกฮาร์ดแวร์ต่ำ เพราะมีการเรียกใช้งาน Hypervisor อยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตามสำหรับคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ โดยทั่วไปมีทรัพยากรเพียงพอที่จะรองรับได้โดยไม่มีผลกระทบรุนแรง
วิธีเปิด/ปิด Memory Integrity
หมายเหตุ: เมนูหรือชื่อเรียกใน Windows อาจแตกต่างกันเล็กน้อยขึ้นอยู่กับเวอร์ชันของ Windows
- เปิดแอป Windows Security คลิก Start หรือกดปุ่ม Windows พิมพ์ “Windows Security” แล้วเลือกเปิด
- ไปยังหน้า Device Security ในหน้าต่าง Windows Security เลือก Device security (หรือ “ความปลอดภัยของอุปกรณ์”)
- เลือก Core Isolation details มองหาหัวข้อ Core isolation แล้วคลิก Core isolation details หรือ “รายละเอียดการแยกหลัก”
- เปิดสวิตช์ Memory Integrity
- หากต้องการเปิดใช้งาน ให้กดสวิตช์ On (เปิด)
- หากต้องการปิด ให้กดสวิตช์ Off (ปิด)
- จากนั้นอาจต้องรีสตาร์ตเครื่องเพื่อให้การตั้งค่ามีผล
 
- ยืนยันสถานะ หลังจากรีสตาร์ต ควรกลับมาตรวจสอบในหน้าต่าง Core isolation details อีกครั้ง เพื่อยืนยันว่าตัวเลือก Memory Integrity ได้ถูกเปิดใช้งานอยู่จริง
ควรเปิดหรือปิด Memory Integrity ใน Windows?
การตัดสินใจว่าจะเปิดหรือปิด Memory Integrity (HVCI) ใน Windows ขึ้นอยู่กับความต้องการและเงื่อนไขการใช้งานของคุณเป็นหลัก โดยมีปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาดังนี้
สาเหตุที่ควรเปิด
- เพิ่มความปลอดภัยระดับ Kernel
 Memory Integrity ช่วยป้องกันไม่ให้โค้ดที่ไม่น่าเชื่อถือหรือโค้ดอันตรายเข้าถึงและแก้ไข Kernel ซึ่งเป็นหัวใจของระบบปฏิบัติการ หาก Kernel ถูกโจมตีหรือแก้ไข มัลแวร์อาจจะยกระดับสิทธิหรือซ่อนตัวได้อย่างแนบเนียน
- ป้องกันมัลแวร์ขั้นสูง
 ในยุคที่มัลแวร์ถูกพัฒนาให้แทรกซึมในระบบได้ลึกยิ่งขึ้น การมีเกราะป้องกันหลายชั้นจะลดโอกาสที่ผู้โจมตีจะเข้าถึงหรือดัดแปลงข้อมูลสำคัญในระดับ Kernel
- เสริมความปลอดภัยโดยใช้ Virtualization-Based Security
 เมื่อเปิดใช้งาน Memory Integrity ระบบจะใช้ Hypervisor และ VBS ในการสร้างสภาพแวดล้อมแยก (Isolated Environment) ให้ส่วนของโค้ดที่สำคัญ ลดความเสี่ยงในการถูกแทรกแซง
สาเหตุที่บางครั้งอาจเลือกปิด
- ปัญหาความเข้ากันได้ของไดรเวอร์
 บางไดรเวอร์ที่เก่าหรือไดรเวอร์ที่ไม่ได้ลงนามเซ็นรับรองอย่างถูกต้อง (Unsigned Driver) อาจไม่สามารถทำงานร่วมกับ Memory Integrity ได้ ทำให้เกิดข้อผิดพลาดหรืออุปกรณ์ทำงานผิดปกติ
- ประสิทธิภาพของเครื่องในบางกรณี
 ระบบจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในการทำงานร่วมกับ Hypervisor หากคอมพิวเตอร์เป็นรุ่นเก่าหรือมีสเปกต่ำ อาจทำให้ความเร็วหรือประสิทธิภาพโดยรวมลดลง
- การใช้งานซอฟต์แวร์เฉพาะทาง
 ในบางครั้ง แอปพลิเคชันหรือโปรแกรมเฉพาะทาง (เช่น โปรแกรมวิเคราะห์ระบบ, โปรแกรมดีบักต่าง ๆ) อาจเจอข้อจำกัดหรือทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพเมื่อ HVCI ทำงาน
สรุปก็คือ Memory Integrity หรือ Hypervisor-Protected Code Integrity (HVCI) เป็นหนึ่งในฟีเจอร์ความปลอดภัยสำคัญของ Windows ที่ช่วยป้องกันไม่ให้โค้ดหรือไดรเวอร์ที่ไม่น่าเชื่อถือทำงานในระดับ Kernel โดยอาศัยเทคโนโลยี Virtualization-Based Security (VBS) และ Hypervisor ในการควบคุมและแยกกระบวนการที่เสี่ยง การเปิดใช้งาน Memory Integrity จะช่วยลดโอกาสที่มัลแวร์หรือผู้โจมตีจะสามารถเจาะทะลวงระบบในเชิงลึกได้ อย่างไรก็ตาม ควรตรวจสอบความเข้ากันได้ของไดรเวอร์และทรัพยากรของฮาร์ดแวร์ก่อนเปิดใช้งาน เพื่อป้องกันปัญหาการใช้งานในชีวิตประจำวันและเพื่อคงประสิทธิภาพของเครื่องในระดับที่เหมาะสม
หากคุณต้องการเสริมความปลอดภัยให้กับ Windows ของคุณ ฟีเจอร์ Memory Integrity เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ควรพิจารณาอย่างยิ่ง ในยุคที่การโจมตีทางไซเบอร์มีความซับซ้อนและมีหลากหลายรูปแบบมากขึ้น การสร้างเกราะป้องกันหลายชั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้การใช้งานคอมพิวเตอร์เป็นไปอย่างปลอดภัยและไว้วางใจได้มากยิ่งขึ้น

 
 
Leave a Reply