รัฐบาลสหรัฐฯ บีบ Intel คงธุรกิจ Foundry หลังเข้าถือหุ้น 10% ภายใต้ข้อตกลงใหม่

ข้อตกลงระหว่าง Intel และรัฐบาลสหรัฐฯ (ยุค Trump) เกี่ยวกับธุรกิจ Foundry

สำนักข่าว Financial Times รายงานว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ทำข้อตกลงกับ Intel เพื่อเข้าถือหุ้นในบริษัทจำนวน 10% และให้เงินสนับสนุนเพิ่ม 5.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายใต้โครงการ CHIPS and Science Act โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อควบคุมการดำเนินงานด้านธุรกิจ Foundry (ธุรกิจผลิตชิปให้บริษัทอื่นตามสัญญา ไม่ใช่การออกแบบเอง แต่รับจ้างผลิต) ของ Intel ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผลิตชิปให้ลูกค้าภายนอก

ข้อตกลงนี้มีเงื่อนไขสำคัญที่ป้องกันไม่ให้ Intel แยกธุรกิจ Foundry ออกไป (Spin-off) หรือขายให้บริษัทอื่นในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า หาก Intel ดำเนินการดังกล่าว รัฐบาลสหรัฐฯ จะได้รับสิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มอีก 5% ในราคา 20 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ Intel ถือหุ้นในธุรกิจ Foundry ต่ำกว่า 51% ทั้งนี้ David Zinsner ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (CFO) ของ Intel กล่าวว่าบริษัทคาดว่าเงื่อนไขนี้จะไม่ถูกนำมาใช้ เพราะทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่าธุรกิจ Foundry ต้องยังอยู่ภายใต้การควบคุมของ Intel

การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ต้องการผลักดันการผลิตชิปขั้นสูงให้เกิดขึ้นภายในประเทศ ท่ามกลางการแข่งขันกับ TSMC และผู้ผลิตชิปรายใหญ่นอกสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ธุรกิจ Foundry ของ Intel ยังคงเผชิญปัญหาขาดทุนอย่างหนัก โดยรายงานผลขาดทุนจากการดำเนินงานกว่า 3.1 พันล้านดอลลาร์ ในไตรมาส 2 ปี 2025 ซึ่งทำให้บอร์ดบริหาร นักลงทุน และนักวิเคราะห์หลายฝ่ายกดดันให้ Intel แยกธุรกิจ Foundry ออกไป

อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงใหม่นี้บังคับให้ Intel ต้องคงธุรกิจ Foundry ไว้ แม้ว่าจะไม่สร้างผลกำไรในปัจจุบันก็ตาม ก่อนหน้านี้มีการคาดการณ์ว่า Intel อาจทำการ Spin-off หน่วยงาน Foundry ได้ในช่วงปลายปี 2024 แต่แผนดังกล่าวต้องชะลอ หลังจาก Pat Gelsinger อดีตซีอีโอและสถาปนิกโครงการ Foundry ของ Intel ประกาศลาออกอย่างกะทันหันเมื่อเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา

ที่มา – techcrunch.com